เอาปลากะพงไปไล่ตกกุ้งฝอย/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

เอาปลากะพงไปไล่ตกกุ้งฝอย

 

หลังการแพร่ระบาดของ “โควิด-19 รอบที่สาม” แล้ว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อาศัยอำนาจนายกรัฐมนตรี “ปฏิวัติเงียบ” ออกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผ่องถ่ายการบริหารจัดการ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19” หรือ “ศบค.” ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ด้วยการแต่งตั้ง “บิ๊กตู่” เป็นผู้อำนวยการศูนย์สืบแทน พร้อมกับปรับเปลี่ยนโครงสร้าง แผนการจัดการ แค่นั้นยังไม่พอ “บิ๊กตู่” ยังตีนตุ๊กแก ชงเอง ชิมเอง สลับฟันปลา แต่งตั้ง “พล.อ.ประยุทธ์” ให้นั่งแท่น ผอ.ศบค.กรุงเทพมหานคร อีกตำแหน่ง

จากนั้นเป็นต้นมา รถบัสแห่นาคมาจอดหน้าบ้านเต็มไปหมด เพราะ “ทัวร์ลง” ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยพุ่งกระฉูด ทุบสถิติ ทำนิวไฮแบบรายวัน ช็อตต่อช็อต จากรอบแรกหลักสิบ หลักร้อย

ยกระดับเข้าหลักหลายพันต่อวัน หากนำไปเทียบกับจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งพบผู้ป่วยน้อยมาก การแพร่เชื้อที่ถือว่าใหญ่สุดคือสนามมวยลุมพินี แต่แค่เกิน 100 คนเท่านั้น

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่สรุปถึงการแพร่ระบาดโควิด-19 “รอบแรก” เดือนกุมภาพันธ์ถึงธันวาคม 2563 จำนวนจิ๊บๆ เพียง 4 พันกว่าราย “ระลอกที่ 2” จุดเริ่มต้นจากจังหวัดสมุทรสาคร ถือว่าหนักแล้ว ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 24,626 ราย 6 เท่าของรอบแรก

แต่ “รอบที่ 3” จุดเริ่มต้นจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อ ระยะเวลาไม่ถึงเดือนการระบาดพุ่งพรวด ติดเชื้อทุกวงการ และตั้งแต่ก่อนเทศกาลสงกรานต์เดือนเมษายน ถึงกรกฎาคม วิกฤตสุดขีด ยอดทะลุเกิน 5 พันรายเกือบทุกวัน

และไม่มีแนวโน้มว่ารัฐบาลหรือ “ศบค.” จะเอาอยู่ ล่าสุด ระยะห่างจากวันที่ 1-7 กรกฎาคม สถิติน่าตกใจ 7 วันอันตราย มีผู้ติดเชื้อ 41,871 ราย เสียชีวิต 364 ราย สรุปยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มน้ำบานทะลุหลัก 3 แสนไปแล้ว เสียชีวิตไม่ต้องสวดอภิธรรมศพ 2,384 ราย

เอาผลเสียหายที่เกิดจากผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิต ล้มหายตายจากอย่างน่าเวทนา บวกกับความหายนะทางเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการบริหารจัดการที่ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งสะเทือนเลื่อนลั่นไปเป็นลูกโซ่ และประเมินค่าไม่ได้

ก่อมรรคผลให้ “บิ๊กตู่” ที่รวบอำนาจ อยากจะโชว์เพาเอวร์ จอมยุทธ์ปราบโควิด รวมศูนย์มาอยู่กับตัวเอง ตามระบบ “ซิงเกิลคอมมานด์” แล้วบริหารจัดการผิดพลาดทุกเม็ด ทั้งออกประกาศล็อกดาวน์ ห้ามชาวบ้านนั่งกินอาหารในร้าน ปิดแคมป์ก่อสร้างใน กทม. พื้นที่สีแดง จนคนงานไหลกลับสู่บ้านเกิด ไปอดตายต่างจังหวัด การแพร่ระบาด เลยไปกันใหญ่

ด้วยเหตุและปัจจัยจากความล้มเหลว กับการแก้ปัญหา จนประเทศเข้าสู่วิกฤต “พล.อ.ประยุทธ์” เดี๋ยวโดนซ้าย โดนขวา มีประเด็นต้องไล่เคลียร์เป็นระลอก ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมี ถูกลบเลือนหายไป

กลิ่นการดูถูกดูแคลนฟุ้งกระจาย ปรามาส เย้ยหยัน ถากถาง คุณค่าแห่งการยกย่องไม่หลงเหลือ…มิตร-คนกันเอง ต่างพากันส่ายหัวเดี๊ยะ ยังกะเหม็นขี้ควาย

 

เมื่อก่อนต้นทุนทางสังคมสูง “บิ๊กตู่” ทำอะไรผิด มีคนปกป้องช่วยคุ้มครอง ข่าวร้ายกลายเป็นข่าวดี ความจริงเป็นความเท็จสำหรับคนเชื่อ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร กำแพงภูมิคุ้มกันกลับต่ำเตี้ย…ถูก “จับผิด” เวลา “พล.อ.ประยุทธ์” ออกโทรทัศน์ มาเรียงร้อยถ้อยประโยค ต้องใช้ล่ามแปลไทยเป็นไทย

“ประชาชน” ออกเสียง “ปลาชน” “พิจารณา” พูดว่า “เพียะนา “กระทรวงสาธารณสุข” เป็น “ซวงสาสุก” “ความร่วมมือ” เป็น “คว่อมมือ” “เร่งดำเนินการ” เป็น “เร่งอำกาน” “ประชาธิปไตย” เป็น “ซาปตัย” “รัฐบาล” ก็ว่า “ร้าบาน” เป็นอาทิ

สดๆ ร้อนๆ เพิ่งยกจากเตา คือการเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ของ “พล.อ.ประยุทธ์” แล้วพูดรัวๆ ว่า “อยากให้ภูเก็ตเป็นปราสาททราย เพราะเราตั้งชื่อว่าแซนด์บอกซ์ พูดง่ายๆ คือ เราก่อร่างด้วยทรายขึ้นมา ปราสาททราย เราต้องเติมอิฐ หิน ปูนเข้าไปอีกเยอะ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ให้การท่องเที่ยวเรามีศักยภาพ มีคุณภาพและปลอดภัย”

วรรค วลีทอง กลายเป็นไฮไลต์ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโซเซียล เพราะ “บิ๊กตู่” เข้าใจความหมายของ “แซนด์บอกซ์” กับ “ปราสาททราย” ผิด

“แซนด์บอกซ์” หากแปลตรงตัว คือ “กระบะทราย” ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งของสนามเด็กเล่น ที่ช่วยให้เด็กๆ โดยเฉพาะวัยกำลังหัดเดินได้เล่นอยู่ในนี้ แบบที่มีขอบเขตกำหนด

ที่นำมาใช้เป็นโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” เพื่อบ่งบอกว่า ภูเก็ตเป็นพื้นที่จำกัด แยกต่างหากออกจากพื้นที่ปกติส่วนอื่น ซึ่งเป็นกลไกความปลอดภัย ที่อาจมีความเสี่ยงการแพร่กระจายของไวรัส แต่เมื่อจำกัดอยู่ในแซนด์บอกซ์ ไวรัสจะถูกจำกัดโดยไม่สามารถแพร่กระจายออกไปส่วนอื่นได้ ซึ่งแตกต่างคนละความหมายกับ “ปราสาททราย” หรือแซนด์คาสเชิล ที่ความหมายคือ การสร้างปราสาทจำลอง

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังกระหึ่ม วันที่ “บิ๊กตู่” บินไปเป็นประธานเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ฮักไทย ฮักภูเก็ต ขอคืนรอยยิ้มให้คนไทยอีกครั้ง โดยเที่ยวบินแรกที่สัมผัสรันเวย์ แตะสนามบินภูเก็ตคือ “สิงคโปร์แอร์ไลน์” รับเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนมาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเพียง “หยิบมือเดียว” ราว 300 คน

แต่” พล.อ.ประยุทธ์” ขนคณะรัฐมนตรีไปต้อนรับกว่าครึ่ง ครม. ล้วนแต่กระทรวงเป้งๆ ทั้งที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และโดยอ้อม จึงถูกมองว่า เอาปลากะพงไปไล่ตกกุ้งฝอย ไม่คุ้ม

ขณะนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาล็อตแรก ซึ่งตามโปรแกรมต้องพักในภูเก็ต 14 วัน ส่วนหนึ่งระดับ “แบกเป้” พักเกสเฮาส์ ไม่ใช่โรงแรมระดับสี่ซ้าห้าดาว ซึ่งจริงๆ แล้วใช้บริการรัฐมนตรีว่าการบางกระทรวงไปเป็นประธานในพีธีก็พอแล้ว

แถมภาพปรากฏ “นายกฯ ลุงตู่” พร้อม รมต.ไปยืนตั้งแถวต้อนรับนักท่องเที่ยวในสนามบิน พูดจาภาษาดอกไม้ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ ถูกนำมาล้อว่า ดูไม่ต่างอะไรจากแก๊งแท็กซี่ 18 มงกุฎ ที่มายืนรอรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เพื่อแย่งลูกค้ากันยังไงยังงั้น

ที่ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ยกขบวนกันไปเต็ม แต่วันเพลิงไหม้โรงงานหมิงตี้ ไม่เห็นผู้เกี่ยวข้องระดับเสนาบดีสักคน