ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ในที่สุดรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ทำให้ประเทศไทยเสี่ยงต่อการระบาดขั้นสูงสุดอย่างไม่เคยเป็น
หมออุดม คชินทร ยอมรับว่าประเทศไทยวันนี้เข้าสู่การระบาดของโควิดระลอกที่สี่ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การสารภาพว่าระบบสาธารณสุขของเรากำลังจะล่มสลาย หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป
ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นราววันละ 4,000 คน ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน จนเข้าเขตวันละ 5,000 คน ในวันที่ 28 มิถุนายน และสู่เขต 6,000 คน ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน
ประเทศไทย ในเดือนกรกฎาคมมีผู้ติดเชื้อในหกวันแรกจ่อสี่หมื่นราย และตายไปแล้วถึง 310 คน
ถ้าสถานการณ์การระบาดเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมก็อาจจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2 แสนราย และมีคนตายราว 1,200-1,300 คน
ซึ่งถือว่าสูงขึ้นเกือบหนึ่งเท่าจากเดือนมิถุนายนซึ่งมีคนติดเชื้อราวหนึ่งแสนเศษๆ ถึงหนึ่งเท่า
และสูงขึ้น 20% หากเทียบกับจำนวนคนตายอีก 992 ราย
ตัวเลขของคนตายและคนติดเชื้อแบบนี้น่ากลัว เพราะไม่มีทางที่เราจะมีบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือมากพอจะรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้
ประเทศไทยจึงเข้าสู่สถานการณ์ที่ต้องเลือกว่าจะให้ใครเข้าหรือไม่เข้าโรงพยาบาลอย่างที่เคยเกิดในนิวยอร์ก, อินเดีย หรืออิตาลีช่วงวิกฤตรุนแรง
ที่ผ่านมานั้นมีคนพูดเยอะเรื่องคนติดเชื้อถูกทิ้งให้นอนป่วยคาบ้านกว่าจะได้โรงพยาบาล
แต่ปัญหานี้ในอดีตเกิดจากการบริหารเตียงที่มีลักษณะคอขวด หรือไม่ก็ไม่มีรถขนส่งผู้ป่วย ระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องรอเตียงจึงไม่มากนัก
ไม่เหมือนตอนนี้ที่เตียงไม่มีจริงๆ จนหลายกรณีต้องรอถึง 4-5 วัน
ด้วยเหตุที่รัฐบาลไม่ใช่วิธีตรวจเชื้อแบบปูพรมตรวจทุกคน ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ ศบค.แถลงจึงมาจากการตรวจบางพื้นที่และคนป่วยที่มาหาหมอเท่านั้น
ผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ตรวจ (Undertest) จึงแทรกตัวตามชุมชนจนแพร่เชื้อไปเรื่อยๆ จนมีคนไม่น้อยตายเพราะโควิด แต่ไม่มีใครรู้ว่าติดโควิดตาย
จากการเปิดเผยของหมอนิติเวชแห่งโรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวนคนตายที่ตรวจแล้วพบว่าตายเพราะโควิดสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ตายตามแฟลตหรือชุมชนแออัดซึ่งเคยมีผู้ติดเชื้อมาก่อน
ตัวเลขผู้ป่วยกับตายที่แถลงจึงต่ำกว่าความจริง
หรืออีกนัยคือเรามีการระบาดตามยถากรรมที่ระบบไม่ได้ทำอะไรเลย
ตรงข้ามกับหมอใน ศบค.ที่เคยประเมินว่าสายพันธุ์เดลต้าคุมได้ ไม่น่ากลัว ผู้ติดเชื้อเป็นคนงานซึ่งแข็งแรงจนร่างกายสู้เชื้อได้ ประเทศไทยหลังเจอสายพันธุ์นี้กลางพฤษภาคมกำลังเผชิญสถานการณ์ที่วิกฤตที่สุด เพราะเป็นไวรัสที่ติดต่อง่าย ซ้ำยังทำให้เกิดปอดอักเสบเร็วกว่าสายพันธุ์เดิม 3-5 วัน
ด้วยเหตุที่ ศบค.ซื้อวัคซีนซิโนแวคมหาศาลทั้งที่แทบไม่มีประโยชน์ในการป้องกันสายพันธุ์เดลต้าระบาด คนหยิบมือเดียวที่ได้วัคซีนแล้วจึงไม่ช่วยให้การระบาดลดลงได้ ไม่ต้องพูดถึงคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้วัคซีนแม้แต่เข็มเดียว ประเทศไทยจึงกลายเป็นโต๊ะบุฟเฟ่ต์ของสายพันธุ์นี้อย่างไม่รู้ตัว
วิธีที่ทั่วโลกสู้กับไวรัสระบาดมีอยู่แค่ไม่ฉีดวัคซีนก็กักตัว
วิธีที่รัฐบาลประยุทธ์บริหารวัคซีนทำให้ไม่สามารถชนะศึกนี้ด้วยวัคซีนได้แน่ๆ เพราะทุ่มเงินไปซื้อวัคซีนที่ป้องกันสายพันธุ์เดลต้าไม่ได้
โรงงานในไทยผลิตวัคซีนได้ไม่ตามเป้า และรัฐบาลไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่วางไว้เลย
นโยบายวัคซีนของรัฐบาลทำให้ประเทศเผชิญการระบาดรุนแรงขึ้น ซ้ำบุคลากรที่จะสู้กับการระบาดก็เป็นผู้ติดเชื้อมากขึ้นไปด้วย
ไม่ต้องพูดถึงการปรับนโยบายวัคซีนที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือทักษิณ ชินวัตร เรียกร้องตั้งแต่มีนาคม แต่ต้องใช้รอถึงต้นกรกฎาคม กว่าที่รัฐบาลจะยอมให้สาธารณสุขซื้อไฟเซอร์เข้ามา
คุณอนุทิน ชาญวีรกูล และหมอใน ศบค.เปิดเผยว่า วัคซีนไฟเซอร์จะเข้าไทยไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไปได้ตั้งแต่ตุลาคมถึงธันวาคม ถ้าโชคดีก็แปลว่าเราต้องรออีกสามเดือนกว่าที่คนโดยทั่วไปจะได้วัคซีนซึ่งป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้
หรือเท่ากับต้องเจอสถานการณ์ที่ทำให้ระบบสาธารณสุขวิกฤตไปอย่างน้อยสามเดือน
ต่อให้วัคซีนไฟเซอร์มาไทยในเดือนตุลาคม กว่าที่การฉีดจะเริ่มและภูมิต้านทานจะขึ้นก็คงต้องใช้เวลาอีก
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หากวัคซีนไม่มาในช่วงปลายไตรมาสสี่อย่างเดือนธันวาคม ระบบสาธารณสุขในตอนนั้นอาจถึงจุดที่ไม่เหลืออะไรเลย หรืออย่างน้อยก็ไม่มีทางเหลืออย่างเท่าที่เห็นในปัจจุบัน
ทางรอดเดียวของประเทศคือทำทุกอย่างเพื่อกดผู้ป่วยไม่ให้มากจนระบบพัง
นโยบายทางเลือกอย่างการกักตัวผู้ป่วยตามบ้าน (Home Isolation) กลายเป็นนโยบายหลักที่หลายพื้นที่ต้องทำก่อนระบบพังทั้งหมด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลแม่สอดซึ่งมีขนาด 420 เตียง แต่ต้องดูแลคนไข้โควิดถึง 1,041 คน
คำถามในแง่นโยบายคือเราจะประคองระบบด้วยวิธีนี้กี่เดือนกว่าจะออกจากสถานการณ์นี้ได้ หมอและบุคลากรทางการแพทย์จะไหวหรือไม่
และประเทศไทยจะรับได้แค่ไหนกับการอยู่ไปแบบนี้?
คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ผิดที่ใช้นโยบายทุ่มภาษีประชาชนช่วยโรงงานที่ไม่ส่งวัคซีนแอสตร้าฯ ตามเป้า นโยบายนี้มาจากผลประโยชน์ที่หมอใน ศบค.เป็นผู้บริหารโรงงานหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่คุณประยุทธ์รู้อยู่แก่ใจ
แต่หากวันนั้นคุณประยุทธ์ไม่ทำให้วัคซีนเป็นเรื่องการเมือง ประเทศไทยวันนี้จะไม่พังแบบนี้เลย
ทุกอย่างที่รัฐบาลทำกำลังบีบประเทศไทยให้เดินไปสู่การล็อกดาวน์
และเมื่อคำนึงว่ารัฐบาลล็อกดาวน์แคมป์คนงานแล้วตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน สถานการณ์การระบาดแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็บอกว่าการล็อกดาวน์คราวหน้าน่าจะมีระดับที่รุนแรงและกว้างขวางกว่าแคมป์คนงานอย่างแน่นอน
ด้วยตัวเลขของผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยอาการหนักที่ยังสูงขึ้นหลังจากปิดแคมป์คนงานแล้วเกือบ 14 วัน เป็นไปได้ที่การล็อกดาวน์รอบใหม่จะเป็นการล็อกดาวน์กรุงเทพฯ ทั้งหมด
แต่ด้วยวิธีที่รัฐบาลล็อกดาวน์แล้วไม่ปูพรมตรวจเพื่อแยกผู้ติดเชื้อ การล็อกดาวน์ก็จะเจ็บแต่ไม่จบอย่างที่เป็นมาตลอดหนึ่งปี
ถ้าล็อกดาวน์แบบจำกัดแค่แคมป์คนงานทำให้เศรษฐกิจพังและคนโกรธแค้นอย่างปัจจุบัน การล็อกดาวน์ที่ขอบเขตกว้างขึ้นก็จะทำให้เศรษฐกิจพินาศและข้นแค้นขึ้นไปอีก แต่ปัญหาจะรุนแรงแค่ไหนเป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยมีใครเผชิญการพังทลายของเศรษฐกิจมากอย่างที่เกิดในปัจจุบัน
คนไทยวันนี้มีความทุกข์มาก รัฐบาลจะออกนโยบายช่วยเหลือเยียวยาแค่ไหนก็แทบไม่มีผลอะไร แต่การล็อกดาวน์ระลอกใหม่จะเกิดขึ้นในเวลาที่รัฐบาลไม่มีทรัพยากรพอจะเยียวยาอีก ต่อให้จะกู้แล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาท
และการจะขอกู้เพิ่มอีกก็จะเสี่ยงต่อการพังพินาศทางเศรษฐกิจเหลือเกิน
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ทางตัน และถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีคนพูดว่ารัฐบาลประยุทธ์เข้าสู่ทางตันแล้วหลายครั้ง
ครั้งนี้กลับเป็นทางตันด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจซึ่งผลกระทบกับชีวิตคนโดยตรง
หมายความว่าเป็นทางตันที่จะบีบคั้นให้คนโกรธแค้นจนลุกลามเป็นการต่อต้านทางการเมือง
ถ้าคุณประยุทธ์ฉลาดสักเศษเสี้ยวของการที่คุณประยุทธ์ชอบอวยตัวเอง คุณประยุทธ์จะมองออกว่าประเทศไทยวันนี้มาถึงจุดที่รัฐบาลทำอะไรคนก็ด่าไปหมด การด่าเป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดขั้นไม่อยากอยู่ร่วมโลกอีก
การตัดสินใจที่ทำให้คนเดือดร้อนจึงไม่ต่างจากการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ
ต้นทุนทางการเมืองของคุณประยุทธ์หดหายจนลุกลามเป็นการล้มละลายของบุคคลและองค์กรที่มีภาพลักษณ์เป็นพวกคุณประยุทธ์ ศบค.และหมอใน ศบค.ที่เคยได้รับความเชื่อถือล้วนถูกตั้งข้อกังขาอย่างไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนจากความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาล
ถ้าเป็นแบบนี้ โอกาสที่เราจะเห็นการพังทลายทั้งระบอบก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินคาด สุดแท้แต่จะเกิดวันไหนและเวลาใดเท่านั้นเอง
ประตูบานสุดท้ายสู่ทางออกจากวิกฤตได้ปิดลงแล้ว การบริหารสถานการณ์โควิดที่คำนึงถึงแต่พวกพ้องทำให้คุณประยุทธ์หายนะ และต้นเหตุของความหายนะคือการบริหารประเทศเพื่อรัฐพันลึกที่กลายเป็นบ่วงรัดคอคุณประยุทธ์เอง
ใครที่รักประเทศนี้จริงๆ ไม่ใช่รักเพื่อกอบโกย เตรียมหาทางฟื้นฟูประเทศหลังจากหายนะรอบนี้ได้เลย