เครื่องเคียงข้างจอ/ฮวงสมจุ้ย

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

ฮวงสมจุ้ย

ฉบับนี้ของดเรื่องราวในจอทีวี แต่มาป้วนเปี้ยนที่หน้าจอตัวอักษรแทน

ผมกำลังจะพูดถึงหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กที่ชื่อ “ฮวงสมจุ้ย” ครับ

หนังสือเล่มนี้ เขียนโดย สมจุ้ย เจตนาน่าสนุก หรือ ศุ บุญเลี้ยง นั่นเอง จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์กะทิกะลา

ผมได้รับหนังสือเล่มนี้ในบ่ายวันหนึ่ง ที่เขาเดินทางมาชมละครเวที “ขอพบในฝัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล” และเขาก็เซ็นให้โดยไม่ต้องขอ

ผมอ่านรวดเดียวจบเพราะความหนานั้นแค่ 126 หน้าเอง

ใครที่รู้จัก “จุ้ย” คงจะรู้ดีว่าเขาเป็นนักคิดคนหนึ่ง และความคิดของเขาก็ออกแนวพิเรนทร์ๆ สักหน่อย แบบที่คนอื่นไม่ค่อยคิดกัน จนบางครั้งออกแนวขวางโลกก็มี

หนุ่มเมืองจันท์ เขียนเรื่องนี้ไว้ในหน้าคำนำว่า…มีมุขหนึ่งในคอนเสิร์ตเฉลียงที่ผมชอบมาก เพื่อนๆ เฉลียงแซวว่า “วันนี้ผมได้ใส่เสื้อลายจุ้ยด้วย” “ลายอะไร” บางคนงง

“ลายขวางโลก” …ฮะฮะฮ่า…

แต่เพราะเป็นคนคิดแบบขวางโลกนี่เอง ทำให้หนังสือที่เขาเขียนซึ่งมาจากการช่างคิดช่างสังเกตมีแง่มุมที่น่าอ่าน…อ่านความคิดของเขาที่เลยไปถึงวิธีคิดนั่นเอง

เรื่องราวที่รวมเล่มใน “ฮวงสมจุ้ย” นี้ มาจากคอลัมน์ของเขาที่เคยเขียนลงในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นฉบับที่มีนักเขียนจากนิตยสาร หรือนักคิดทั้งหลายมาเขียนลงกัน และจุ้ยก็ใช้เวทีนั้นขยายความคิดของเขาให้ได้อ่านกัน

ต่อไปนี้คือตัวอย่างความคิดแบบขวางโลก แต่ชวนคิดของจุ้ยเขาจากหนังสือเล่มนี้

เขาเล่าว่าได้บอกคนที่ติดต่องานเข้ามาว่า ตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่จากการประชุมสำคัญกับลูกน้องในร้านอิ่มอุ่นของเขา วาระที่ว่าสำคัญนั้นคือเรื่อง “การกินพริกกะเกลือ”…งงไหมล่ะ

คือ ผู้จัดการของร้านเขาไม่อยากให้พนักงานกินของจุกจิกระหว่างทำงาน กลัวดูไม่ดี

แต่จุ้ยมองว่าไม่เห็นเป็นอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เพียงแต่ดูแลว่ากินอย่างไรไม่ให้เลอะเทอะหรือเสียงานจะดีกว่าไหม

หรืออย่างเรื่อง “การแสดงออกของเด็ก” ที่เขาเขียนว่า คุณครูส่วนใหญ่มองเรื่องการแสดงออกของเด็กเป็นเรื่องของการร้อง การเต้น การแสดงเท่านั้น เมื่อมีเด็กที่ไม่มีทักษะในการทำสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นว่าเป็นพวกไม่กล้าแสดงออก

ตอนหนึ่งในเรื่องนี้จุ้ยเขียนไว้ว่า

“เลยสงสัยแทนเด็กว่า ถ้าเขาแสดงออกโดยการไม่ออกมาแสดงจะได้ไหม แต่อาจจะอยากเขียน อยากวาด หรืออยากอยู่เบื้องหลังการแสดง เราจะเอาอะไรมาวัดว่าเขาไม่กล้าแสดงออก”

อีกเรื่องหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังถึงเรื่องได้รับการติดต่อให้ไปร่วมงานรับน้องของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งจัดโดยรุ่นพี่รับน้องปีหนึ่ง แต่ไม่มีค่าใช้จ่ายให้ โดยขอให้ไปช่วยเฉยๆ เมื่อเขาตั้งคำถามกลับไปว่า จัดงานได้ยังไงถ้าไม่มีทุนเลย

คำตอบที่ได้คือ จริงๆ เงินน่ะมี แต่ต้องเสียไปกับค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องเสียงให้กับนักร้องคนหนึ่งที่จะมาร้องในงานนี้ด้วย ซึ่งนักร้องคนนี้มากับสปอนเซอร์รายหนึ่งที่มาสนับสนุนงาน จุ้ยเลยบอกว่างั้นก็ให้นักร้องคนนั้นพูดให้น้องๆ ฟังแล้วกัน ไหนๆ ก็มาแล้ว

น้องที่ติดต่อบอกว่า เขาร้องอย่างเดียว เขาไม่พูด เลยอยากให้พี่พูดเรื่องการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ จุ้ยเลยตบท้ายว่า ถ้าเห็นว่าสำคัญก็ไปหาสปอนเซอร์มาก่อนสิ

นี่เป็นตัวอย่างที่เขามองกลับไปถึงวิธีคิดของเด็กรุ่นใหม่ ที่เป็นผลมาจากสังคมยุคนี้

จากเรื่องที่เขาคิดและตั้งข้อสังเกตนั้น มันเป็นการตั้งคำถามที่หลายคนอาจจะมองผ่านไป แต่จุ้ยกลับเห็นและมีความคิดดีๆ กระตุกให้คิดตามได้

โดยเฉพาะที่เขามักจะตั้งคำถามถึงวิธีคิดของคนในสังคมที่ได้เจอะเจอ

ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่างเรื่องข้างบน แต่กับคนมีอายุ มีวัยวุฒิ มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตก็อดจะถูกจุ้ยตั้งคำถามกลับไม่ได้

อย่างเช่น ที่เขาเขียนถึง “นักกีฬาเหรียญทอง” ที่เป็นฮีโร่ของคนทั้งประเทศว่า

“วีรบุรุษเป็นคนของประเทศ ชื่อเสียงที่ได้ย่อมเป็นของคนไทยทั้งชาติ อย่าได้มาแย่งว่าไอ้หนุ่มคนนี้เป็นคนจังหวัดข้า ผู้ว่าฯ ต้องต้อนรับให้สมศักดิ์ศรี ถ้าคิดสั้นแค่นั้น ส่งแค่กีฬาเขต กีฬาจังหวัดก็พอ”

จุ้ยเป็นนักคิดประเภทขวางโลกเพียงใด สมาชิกในวงเฉลียงรู้ดี บ่อยครั้งที่เมื่อถกเรื่องอะไรกัน ซึ่งคนอื่นก็จะเห็นด้วยกันหมด แต่จุ้ยก็จะมีมุมที่เขาไม่เห็นด้วยอยู่คนเดียวเสมอ และเหตุผลที่เขาให้กับการไม่เห็นด้วยนั้น หลายครั้งก็เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่เข้าใจ

เพราะเรื่องนั้นคนอื่นคิดว่าไม่สำคัญ แต่จุ้ยนั้นจะเห็นว่าสำคัญมาก

ในขณะที่เรื่องที่ควรจะสำคัญมาก จุ้ยกลับเห็นว่าสำคัญน้อย

แต่บางครั้งโลกเราก็ต้องการความคิดประเภทนี้ด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นก็จะมองอะไรไปในทิศทางเดียวกันไปหมด

ในหน้าปกของหนังสือ “ฮวงสมจุ้ย” เขาได้มีคำโปรยไว้ว่า “ร่องรอยความคิดและทิศทางอารมณ์”

ลองหามาอ่านดู จะได้ศึกษาว่าร่องรอยความคิดของจุ้ยน่ะเป็นอย่างไร

ส่วนทิศทางอารมณ์ของเขา ก็มีขึ้นๆ ลงๆ เพราะบางเรื่องก็ดูกร้าวดุดันเอาจริง ในขณะที่บางเรื่องก็ดูกุ๊กกิ๊กชิลด์ๆ

ประเมินได้ว่าด้วยวัยของเจ้าตัวขนาดนี้แล้วอาจเป็น “วัยทอง” หรือ “ไบโพล่าร์” ได้ ฮะ ฮะ ฮ่า