ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
สุภา ปัทมานันท์
งานกับคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่
การรับพนักงานเข้าทำงานของบริษัทต่างๆในญี่ปุ่นจะเปิดรับเพียงปีละครั้งพร้อมๆกัน โดยรับนักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาในปีการศึกษานั้นๆ บริษัทจะทำการคัดเลือกผ่านกระบวนการคัดกรองต่างๆเริ่มตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาปลายปีที่ 3 หรือต้นปีที่ 4 เพื่อเข้าทำงานในเดือนเมษายน อันเป็นเดือนเริ่มต้นของปีงบประมาณ นักศึกษาต้องฝ่าด่านหินต่างๆอย่างเหนื่อยยากกว่าจะได้เข้าทำงาน บางคนได้ตามที่มุ่งหวัง บางคนพลาดหวัง แต่ก็ยังดีที่มีงานทำแล้ว
ในอดีตที่ญี่ปุ่นมีการจ้างงานแบบตลอดชีพ(終身雇用制度)เมื่อเริ่มเข้าทำงานที่ใดแล้วก็ทำเรื่อยไปจนถึงเกษียณอายุ อุทิศแรงกาย แรงใจและมอบความภักดีต่อองค์กรแห่งเดียวตลอดไป เพื่อแลกกับความมั่นคงในการดำรงชีพ เพราะบริษัทจะดูแล มีเงินเดือน สวัสดิการให้พนักงานและครอบครัวไปตลอด
แต่…ยุคสมัยและสภาพสังคมญี่ปุ่นได้เปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นใหม่ หนุ่มสาวญี่ปุ่น อยากมีอิสระในการดำเนินชีวิต ไม่อยากทุ่มเทแรงกายทั้งชีวิตเพื่อการทำงาน อยากมีเวลาทำสิ่งที่ตัวเองสนใจและชอบ
หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจนิคเคอิ ของญี่ปุ่นได้ทำการสำรวจคนหนุ่มสาวในวัยทำงานของญี่ปุ่นที่เข้าทำงานในบริษัทได้ 1- 3 ปี เกี่ยวกับความภักดีต่อองค์กร หรือพูดง่ายๆก็คือ คุณอยากทำงานบริษัทที่ทำอยู่ต่อไปอีกนานเท่าใดนั่นเอง โดยทำการสำรวจทางอินเตอร์เน็ต ให้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,148 คน แบ่งเป็น ผู้ชาย 629 คน ผู้หญิง 519 คน เป็นผู้จบการศึกษาสายมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ 714 คน สายวิทยาศาสตร์ 434 คน ขนาดขององค์กรที่ทำงานอยู่มีพนักงานต่ำกว่า 299 คน (13.9%) 330 – 999 คน (19.2%) 1,000 – 4,999 คน (26.4%) และ 5,000 คนขึ้นไป (40.5%)
ผลสำรวจทำให้เข้าใจถึงแนวโน้มของทัศนคติการทำงานของหนุ่มสาวญี่ปุ่นที่ผิดไปจากคนรุ่นเบบี้บูม หรือรุ่นปู่ ย่า พ่อแม่ แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
พนักงานที่เข้าทำงานได้ 1 – 3 ปีแล้ว มีเกินครึ่งที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงาน แยกเป็นผู้ที่กำลังดำเนินการหางานใหม่ 4.3% และผู้ที่ยังไม่เริ่มแต่กำลังคิดอยู่ 46% เป็นผู้ที่ทำงานสายการเงินการธนาคาร 57.6% และสาย IT 55% มากที่สุด เหตุผลที่อยากเปลี่ยนงาน (ตอบได้หลายข้อ) ลำดับแรกๆ เช่น รู้สึกไม่มั่นคงในตัวบริษัทและสายงานในอนาคต 39.4% อยากได้เงินเดือนสูงขึ้น 38.4% งานไม่เหมาะกับความสามารถและนิสัย 31.6% ไม่ได้ฝึกฝนความชำนาญ 28.6% งานที่ทำไม่เป็นตามที่คาดหวัง 27.1% เป็นต้น
ผู้ที่อยู่ในธุรกิจการเงิน การธนาคาร ที่ให้เหตุผลว่า “รู้สึกไม่มั่นคง” มีถึง 45.9% จุดนี้น่าสนใจ
เพราะว่าในอดีต การได้เข้าทำงานในธนาคารยักษ์ใหญ่เป็นสิ่งที่นักศึกษาใฝ่ฝัน แต่ในอนาคต “ธุรกิจมีแนวโน้มหดตัว” “เป็นธุรกิจแบบตะวันตกดิน(斜陽産業)” เมื่อประเมินเช่นนี้แล้วจึงอยากรีบเปลี่ยนงานแต่เนิ่นๆ
ส่วนผู้ที่อยู่ในแวดวงงานด้าน IT ซึ่งขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบันและยังมีความต้องการอีกมากในอนาคตสำหรับยุคดิจิตอล ผู้ที่ทำงานด้านนี้จึง “อยากได้รับการยอมรับความสามารถและคุณค่าที่มีอยู่ให้มากขึ้น” ผู้ให้เหตุผลว่า “อยากได้เงินเดือนสูงขึ้น” จึงมีถึง 50%
ส่วนธุรกิจด้านอุตสาหกรรมการผลิต 43.8% ตอบว่า “เพื่ออนาคตที่ดีกว่า” “ไม่ค่อยมีคนมีความสามารถ ต่อไปถ้าผมเป็นผู้บังคับบัญชาจะทำงานลำบาก” (คนนี้คิดไกลมาก…)
อยากรู้ว่าพวกเขาเริ่มมีความคิดอยากเปลี่ยนงานตั้งแต่เมื่อไร 13.4% ตอบว่า “คิดไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าทำงาน (อยากเลือกอาชีพเองได้อย่างยืดหยุ่น ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบแล้ว)” อันนี้น่าตกใจไม่น้อยเลย
เมื่อถามว่าหากรู้สึกว่าเข้ากับบริษัทหรืองานที่ทำไม่ได้ “จะทำงานต่อไปอีกสัก 3 ปี” หรือ “จะลาออกทันที” มีผู้เลือกตอบอย่างหลังสูงถึง 54.8% คนรุ่นพ่อแม่ ลุงป้า คงถึงกับอ้าปากค้างเมื่อรู้ความในใจของคนรุ่นใหม่นี้ (…รับไม่ได้แน่นอน)
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัท IT ยักษ์ใหญ่ให้ความเห็นว่า คนหนุ่มสาวยุคนี้ไม่รู้จักสุภาษิต “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม” (石の上にも三年 คือ นั่งบนก้อนหินเย็นๆสามปีก็ทำให้อุ่นได้)กันแล้ว ไม่มีความอดทน มุ่งมั่นทุ่มเท ยุคนี้จึงมีกระแสการเปลี่ยนงานเกิดขึ้น
อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมีชื่อในญี่ปุ่นให้ความเห็นว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีความเสี่ยงของธุรกิจที่จะประสบกับภาวะล้มละลายได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บรรดานักศึกษาหัวกะทิทั้งหลายจะไม่ทนทำงานอยู่กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งนาน แต่จะกระตือรือร้นอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีคนไม่น้อยที่ทุกข์กับการหางานที่อยากทำไม่ได้
อีกประการหนึ่งก็คือ ในยุคสมัยที่คนญี่ปุ่นมีอายุเกิน100 ปี กันมากขึ้น คนรุ่นใหม่จะจัดระบบชีวิตของเขาเอง คือช่วงวัย 20 ปี เป็นเวลาที่สะสมประสบการณ์ต่างๆให้มาก และเป็นช่วงสำคัญในการค้นหาตัวเองให้พบ ต่อจากนั้น ช่วงวัย 30 ปี จึงพร้อมเข้าสู่วัยทำงานเป็นผู้ใหญ่เต็มที่
คำถามต่อไปคือ คุณคิดว่า “ได้ทำงานเป็นพนักงานดีแล้ว” หรือว่า “เป็นนักศึกษาดีกว่า” มีผู้ตอบอย่างแรกถึง 63.2% อย่างนี้ค่อยอุ่นใจได้หน่อยว่า เมื่อเรียนจบแล้วก็อยากทำงานเป็นหลักเป็นฐาน ไม่ใช่คิดถึงแต่ความสนุกในวัยเรียน นอกจากนี้ มีถึง 65.3% ที่ตอบว่า “อยากทำงานอื่นนอกจากงานที่ได้รับมอบหมาย” มากกว่าคนที่ตอบว่า “งานของตัวเองยิ่งน้อยก็ยิ่งดี” นับได้ว่ายังมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน
มีผู้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “พอนำสิ่งที่เรียนรู้จากการทำงานมาคิดพิจารณาก็ทำให้เข้าใจ
สังคมและการใช้ชีวิตได้ดีขึ้นและพบว่ายังมีสิ่งน่าสนใจอื่นๆอีกมาก” และ “การที่รู้ว่าความสามารถของผมเป็นที่ยอมรับ เป็นแรงผลักดันที่สำคัญสำหรับผม” ความเห็นเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่ายังมีคนไม่น้อยที่พยายามทำให้งานที่ทำอยู่มีค่าและยังสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่
การสำรวจนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าการระบาดอย่างหนักของโควิด19 เล็กน้อย หากทำการสำรวจในปีหน้า มีความเป็นไปได้ว่าผลที่ได้อาจเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะผลกระทบของโควิด19 ทำให้บริษัทต่างๆต้องปรับตัวหรือล้มหายตายจากไปก่อนแล้ว มิทันที่พนักงานจะได้มีโอกาสแม้แต่จะคิดเปลี่ยนงานเลย… เศร้า…
—————————