เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี ‘ต้องรู้’/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

เรื่องนี้

นายกรัฐมนตรี ‘ต้องรู้’

 

หากผู้อยู่ในปกครองเริ่มรู้สึกได้ว่า “คำลวงเป็นความปกติ” หรือไพร่พลเริ่มตระหนักว่า “แม่ทัพ” ไม่มีสติปัญญา ไร้สัจวาจาและขาดความกล้าหาญ บรรยากาศหวาดระแวง ไม่วางใจก็จะปรากฏขึ้นในชนหมู่นั้น

แทนที่คำประกาศว่า “จะเปิดประเทศให้ได้ภายใน 120 วันนับจากวันนี้” จะปลุกขวัญสร้างพลังกลับกลายเป็นตระหนก และเหยียดหยัน

“นับจากวันนี้” คือนับจาก 16 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไปจะครบกำหนด “120 วัน” ในวันที่ 13 ตุลาคม 2564

ทำไมตรงกับ” 13 ตุลาคม” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องรู้

แต่ “โควิด-19” ไม่ใช่เพื่อนเล่นและไม่ใช่ “โรคหวัดธรรมดา” ดังที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยปรามาส

คำประกาศ “เปิดประเทศภายใน 120วัน ” จึงถูกเปรียบเหมือนการผายลม!

 

จะเปิดประเทศภายใน 120 วัน ต้องมี “แผนที่เดินทาง” ไม่ใช่นึกเดาเอาแล้วโพล่งประกาศไปโดยคิดง่ายๆ ว่าค่อยแก้ตัวในภายหลังด้วยข้ออ้างเดิมๆ “แผนที่ดีต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์”

อย่าลืมว่าท่วงทำนองของ “นักแก้ไข” นักพัฒนา แตกต่างจาก “คนชอบแก้ตัว”!

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยออกมาแถลงเตือนสติถึงสองครั้งสองคราว่า จะเปิดประเทศภายใน 120 วัน ต้องมีวัคซีนให้มากพอ มีคุณภาพที่ดีพอ และต้องมีการบริหารจัดการกระจายวัคซีนฉีดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั่วถึง เป็นระบบ ชัดเจน โปร่งใส ไม่อยู่ใต้อิทธิพลการเมืองหรือผลประโยชน์ใดๆ ของใครๆ

ไม่เช่นนั้น 120 วันอาจเป็นการ “เปิดประตูไปสู่นรก”!

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาจนถึงวันนี้ คนไทยติดเชื้อโควิด-19 เฉลี่ย 3 วันไม่ต่ำ 10,000 คน

ตายเฉลี่ย 3 วัน 100 คน

พอจะเข้าใจได้ว่า คนเป็นนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่นายกรัฐมนตรีทุกคนก็สามารถอาศัยผู้เชี่ยวชาญทุกด้านมาให้ความรู้ ให้คำแนะนำ ฟังมากก็ได้มาก

แต่หากทำตัวแสนรู้ มองไม่เห็นหัวคนอื่นก็ “ได้พลาด” บ่อยๆ

 

พื้นเพ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาจาก “หัวหน้าคณะรัฐประหาร” ซึ่งเชื่อใน “กำลัง” มากกว่า “ปัญญา”

เมื่อได้รัฐธรรมนูญที่พวกเขียนขึ้นมาเกื้อกูลจนกลับมาเป็น “หัวหน้าฝ่ายบริหาร” อีกครั้งอาจจะนึกว่ายังเป็น “หัวหน้า คสช.” พอเกิดวิกฤตโควิด-19 ก็รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ เล่นทั้งบท “นายกรัฐมนตรี” และ “ผอ.ศบค.” มีหมอที่ “ประยุทธ์เชื่อฟัง” กับหมอ “ที่เชื่อฟังประยุทธ์” ร่วมกันคิดและนำพาเข้ารกเข้าพงดังปรากฏ

หลงคิดผิดมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า “ไทยแน่” ที่มีผู้ติดเชื้อน้อย “ไทยพร้อม” ที่มีโรงงานผลิตวัคซีนเอง และ “ไทยรู้ดี” ที่สั่งจองวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ตัวเดียวแค่ 26 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชากร 13 ล้านคนซึ่งสวนทางกับทฤษฎีที่ว่า จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ถึงร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรจึงจะเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือ herd immunity

ประยุทธ์ไม่ยอมรับว่ารัฐบาลจองวัคซีนช้า!

แต่รับว่า “จองแค่พอใช้” และจองยี่ห้อเดียวคือ แอสตร้าเซนเนก้า โดยใช้ “ความรู้สึก” นึกเดาเอาแบบคนไม่มีความรู้ว่า ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแค่ 13 ล้านคนคงจะพอ ซึ่งต่างจากประเทศที่มี “แผนที่เดินทาง” ที่วางเงินจองซื้อวัคซีนมากกว่าจำนวนประชากร 1-2 เท่า

ประยุทธ์มาตระหนกเมื่อโควิด-19 ระบาดระลอก 2 ที่สมุทรสาคร จึงขายผ้าเอาหน้ารอดด้วยการสั่งซื้อวัคซีน “ซิโนแวค” จากจีนมาฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์กับประชาชนในพื้นที่ระบาด

นับแต่นั้นมาก็หายใจเข้าออกเป็น “ซิโนแวค” เพราะสั่งง่าย สะดวก รวดเร็วทันใช้ ถึงแม้ภาคเอกชนจะรวมตัวกันขอซื้อ “วัคซีนทางเลือก” อื่นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงนั้นก็ไม่สำเร็จ

กระทั่ง “โควิด-19” ถล่มระลอก 3 มีคนติดเชื้อวันละ 4-5 พันคน ตายวันละ 40-50 คน “ประยุทธ์กับคณะ” เริ่มได้คิดว่า “วัคซีนมีไม่พอ” ประกาศจะเพิ่มเป็น 100 ล้านโดส และต่อมาว่าไปถึง 150 ล้านโดส

แต่วัคซีนก็ต้องได้ “ตามคิว”

ไม่เว้นแม้แต่ “ม้าตัวเดียว” แอสตร้าเซนเนก้าที่ประยุทธ์อวดโอ่ว่าเป็น “ความมั่นคงทางวัคซีน” ก็ต้อง “จัดส่งตามคิว”

 

“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรกิตติมศักดิ์ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ชี้แจงชัดว่า สยามไบโอไซเอนซ์เป็นผู้รับจ้างผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เป็น 1 สัญญา

ส่วนรัฐบาลไทยกับแอสตร้าเซนเนก้า ก็เป็นอีก 1 สัญญา

สยามไบโอไซเอนซ์ลงนามเมื่อพฤศจิกายน-ธันวาคม 2563 เป็นผู้รับจ้าง ได้ผลิตจัดส่งตามสัญญาที่มีกับแอสตร้าเซนเนก้า ส่วนการส่งออกวัคซีนจากฐานผลิตไทยไปประเทศใดเป็นสิทธิ์ของแอสตร้าฯ

“รัฐบาลควรมีการสั่งซื้อวัคซีนในหลายทางเลือกให้กับประชาชนเพราะเป็นเรื่องสุขภาพและชีวิตประชาชน แม้สยามไบโอไซเอนซ์ผลิตแอสตร้าฯ จะถูกมองเป็นเหมือนแทงม้าตัวเดียว แต่จริงๆ แล้วเราเป็นบริษัทเอกชน ซึ่งขอย้ำว่า ประชาชนควรมีทางเลือก”

เชื่อแป้ง-อย่าแทงม้าตัวเดียว!

 

ประยุทธ์แทงม้าตัวเดียวมาตั้งแต่ต้น แถมยังทึกทักอวดอ้างว่าไทยมี “ความมั่นคงทางวัคซีน” ผลิตเอง ใช้เอง

ความมั่นคงทางวัคซีนเกิดจากการ “สั่งจองวัคซีน” หลากหลายยี่ห้อ และมีปริมาณมากพอ

ทำไมไม่มี “ไฟเซอร์” ทำไมไม่มี “โมเดอร์นา” จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน-ซิโนฟาร์ม ตั้งแต่แรก

ทำไมราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ถึงกับต้องขยับมาทำหน้าที่ “จัดหาวัคซีนทางเลือก” ให้กับภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ทั้งหมดนั้น “ประยุทธ์” รู้อยู่เต็มอก!

คุณหมอนิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล คงจะหมดสิ้นความอดทนจึงได้โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า บ้านเมืองนี้ยังจะมีตัวอย่างธรรมาภิบาลให้ลูก-หลานได้ดูกันบ้างไหม

“คำพูดไม่เคยเป็นนายคน (ที่ไม่มีธรรมาภิบาล)”!?!!