คุยนักวิชาการด้านท่องเที่ยว 120 วัน เปิดประเทศ ความหวัง หรือแค่ความเพ้อฝัน เตือนหายนะจะมาก ถ้า ‘เปิดๆ ปิดๆ’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

คุยนักวิชาการด้านท่องเที่ยว

120 วัน เปิดประเทศ

ความหวัง หรือแค่ความเพ้อฝัน

เตือนหายนะจะมาก ถ้า ‘เปิดๆ ปิดๆ’

 

ภายหลังนายกรัฐมนตรีประกาศตั้งเป้าจะเปิดประเทศไทยทั้งประเทศภายใน 120 วัน แม้ว่าอาจจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นบ้าง

แต่คำประกาศของผู้นำ ย้ำว่ามีความจำเป็นต้องทำ

มติชนสุดสัปดาห์ สนทนาประเด็นร้อนนี้กับอาจารย์ยุคลวัชร์ ภักดีจักริวุฒ์ นักวิชาการจากสาขาการสื่อสารและการท่องเที่ยว วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มศว

อ.ยุคลวัชร์กล่าวว่า จริงๆ เมื่อทุกฝ่ายได้ยินคำว่า เปิดประเทศใน 120 วัน สามารถมองได้ 2 มุม คือ ด้านของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจท่องเที่ยว คมนาคม การขนส่ง หรือโรงแรมที่พัก ต้องบอกว่าพอได้ทราบถึงนโยบาย 120 วันเปิดประเทศ มันมี 2 ความรู้สึกที่มาพร้อมๆ กัน

ด้านหนึ่ง คือความหวังในการที่จะได้กลับมามีรายได้ ได้กลับมาดำเนินธุรกิจของตัวเองให้ สามารถไปต่อได้ หลังจากผู้ประกอบการประสบอยู่ในภาวะที่ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไหร่

แต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือความฝัน คือการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวนโยบาย 120 วันจะเปิดประเทศ ตอนนี้เป็นเพียงประโยคคำพูด และเป็นเพียงแค่ความฝัน

ซึ่งความฝันกับความหวังนี้มีความแตกต่างกัน

ความหวัง หมายถึงสิ่งที่ตั้งตารอ ส่วนความฝัน มันมาพร้อมกับความไม่แน่นอน และความไม่แน่ใจ

เพราะฉะนั้น ความสำคัญอยู่ที่ว่า การจะบอกว่าอีกกี่วันเปิดประเทศ ก็เหมือนมีหมุดหมายปลายทางที่ให้ประชาชน ผู้ประกอบการหลายๆ คนตั้งตารอด้วยความหวังหรือความฝันก็แล้ว

แต่มันจะไม่เกิดขึ้นจริง หรือไม่มีประโยชน์เลย ถ้าหากว่านโยบายมีเพียงเป้าหมาย แต่ไร้ความชัดเจน ในเรื่องของกระบวนการ วิถีการเสถียรภาพที่จะทำให้เปิดประเทศได้ และอาจจะเป็นผลกระทบมากกว่าด้วยซ้ำ

ขณะที่มุมมองของผู้ประกอบการ เมื่อได้รับรู้นโยบาย 120 วันเปิดประเทศ เขามี 2 ความรู้สึก คือ ความหวัง กับความไม่มั่นใจ และเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเป็นเหมือนกันคือ ไม่แน่ใจและหวาดกลัว และอย่างที่ทราบกัน ณ ปัจจุบัน สถานการณ์โควิดในประเทศไทยมีสายพันธุ์แปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้น และพัฒนาอยู่เรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ในมุมมองของคนที่อยู่ในประเทศนี้ ที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้เกิดความวิตกกังวล ประเด็นหนึ่งเพราะคนในประเทศยังไม่ได้รับวัคซีนที่จัดสรรโดยรัฐอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อความต้องการ

อ.ยุคลวัชร์เชื่อว่า นโยบายมาพร้อมกับความเสี่ยงและความกลัว เพราะปัจจุบันยังมีการติดเชื้อในประเทศยอดสูง ทั้งๆ ที่รัฐมีมาตรการป้องกันต่างๆ อาทิ การกักกัน การมีระบบ quarantine ต่างๆ แต่ยอดผู้ติดเชื้อคงที่ระดับ 2-4 พันคนต่อวันมานานหลายวันแล้ว อีกทั้งยังมีไวรัสสายพันธุ์แปลกๆ เล็ดลอดเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ถ้าหากเปิดประเทศแล้ว คนไทยในประเทศยังไม่ได้รับวัคซีนและมีความพร้อมที่จะรองรับ จริงๆ ก็เชื่อว่าบรรยากาศในการท่องเที่ยว หรือใช้ชีวิตมันก็อาจไม่เต็ม 100% และจะเกิดความหวาดกลัวซึ่งกันและกัน

ดังนั้น การที่รัฐมีการตั้งเป้าหมายจากการที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศ ให้ความรู้สึกที่ยังไม่มั่นใจ และไม่แน่นอน ตราบใดที่เรายังมองไม่เห็นว่า แผนการที่จะเปิดประเทศ 120 วันนั้น มันเป็นไปได้จริง และมีรายละเอียดขั้นตอนอย่างไร ซึ่งปัจจุบันความชัดเจนยังไม่มีออกมา

เอาง่ายๆ แค่ว่า 120 วัน ท่านจะนับจากวันไหน นายกฯ พูดอย่างหนึ่ง วันต่อมาโฆษกรัฐบาลพูดอีกอย่างหนึ่ง เรายังไม่รู้เลยว่าจะนับกันแบบไหน deadline อย่างไร แค่เรื่อง basic ก็ยังไม่ชัดเจนอะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ประชาชนควรจะต้องรับรู้

เชื่อว่าสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่เขาต้องการในตอนนี้ คือแผนการว่าจะทำอย่างไรให้เปิดประเทศได้จริงๆ

 

อ.ยุคลวัชร์บอกอีกว่า อยากให้ทุกคนลองนึกถึงภาพของผลกระทบที่ตามมา ถ้าหากว่า 120 วันครบกำหนดแล้วไม่เปิดจะเป็นอย่างไร?

ส่วนตัวเชื่อว่าก่อนหน้าที่จะถึง 120 วัน ผู้ประกอบการต่างๆ หากมั่นใจ เชื่อรัฐบาล หรือสิ่งที่นายกฯ บอก เขาก็จะต้องมีการเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นการรีโนเวต การเตรียมความพร้อมของพนักงาน สต๊อกวัตถุดิบ หรือการเตรียมแผนการตลาดต่างๆ เป็นต้น เพื่อที่จะรองรับเมื่อถึงคราวเปิดประเทศขึ้นจริงๆ

แต่หากถ้าถึงครบ 120 วันขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่า เปิดขึ้นจริงไม่ได้ ความเสียหายมันจะยิ่งสูงขึ้น สิ่งที่ลงทุน เตรียมความพร้อม เม็ดเงินการลงทุนที่เอาไปเตรียมความพร้อมมันก็จะสูญเปล่าไป อันนี้คือสิ่งที่น่ากังวลใจ

ประเด็นสำคัญถัดมาคือ ถ้าหากว่ามันมีแค่ตัวเลขกำหนดการ แต่ไม่ได้มาพร้อมความเชื่อมั่นและแผนการดำเนินการที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผน ประเมินความเสี่ยงของตัวเองได้

ประเด็นต่อมา ถึงแม้ว่าครบ 120 วัน รัฐยังยืนยันเปิดประเทศไม่ว่าสถานการณ์โควิด ณ ตอนนั้นๆ จะเป็นอย่างไร อ.ยุคลวัชร์กังวลถึงความพร้อมในด้านสาธารณสุข จำนวนผู้ติดเชื้อ แผนการดูแลต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน สำคัญที่สุดคือ “สิ่งที่น่ากลัวคือสิ่งที่เรียกว่า เปิดๆ ปิดๆ”

สมมุติหากเปิดแล้วพบยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น หรือมีการติดเชื้อ cluster แพร่ระบาดในแหล่งท่องเที่ยว ก็จะทำให้ต้องปิดเหมือนเดิม ตรงนี้แนวทางเป็นอย่างไร เพราะถ้าหากเปิดๆ ปิดๆ ผลกระทบมันอาจจะมากกว่าการที่เจ็บแต่จบ ปิดยาวและรอพร้อมจริงๆ ค่อยเปิดเลยด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้น จะสังเกตเห็นได้ว่าการตั้งเป้าหมาย 120 วันของนายกรัฐมนตรี มีข้อดี คือทุกคนมองเห็นเป้าหมายปลายทาง ทราบถึงเวลาในเตรียมตัวถึงเมื่อใด หรือสายป่านที่รัฐ hold อยู่ทุกวันนี้ จะยาวถึง 120 วันไหม ถ้ามันไม่ถึงแน่ๆ จะได้หาลู่ทางอื่น แต่ถ้ามันพอที่จะถึงก็จะได้เตรียมตัว

ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่เกี่ยวของในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องการจะรู้คือแผนการดำเนินการที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องของหลักเกณฑ์ต่างๆ ว่าจะเป็นแบบไหน กลุ่มไหนจะเข้ามา หากมีการติดเชื้อเพิ่มจะทำอย่างไร มีมาตรการคุ้มครองไหม อย่างไร และคนในแวดวงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะได้รับการช่วยเหลือวิธีไหน อย่างไรบ้าง หรือการสนับสนุนการเตรียมความพร้อม เป็นต้น

ขณะเดียวกันกลุ่มเสี่ยงของผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะต้องจะสัมผัสกับนักท่องเที่ยวเป็นด่านหน้า หลังการเปิดประเทศ รัฐจะมีขั้นตอนการดำเนินการอยู่จุดไหน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ตัวเลข 120 วันสามารถเป็นได้ทั้งความหวังและความฝันของคนไทยในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

120 วันข้างหน้าคือสถานการณ์ในอนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากเราก็ไม่เคยเปิดให้ต่างชาติเข้ามาจริงๆ เรื่องวัคซีนจะเป็นอย่างไร อนาคตคือสิ่งไม่แน่นอน สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องเรียนรู้กันใหม่

 

ข้อเสนอแนะจาก อ.ยุคลวัชร์คือ แน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนอยู่ด้วยความไม่แน่นอนและหวาดกลัว ในเมื่อปัจจัยสำคัญมันคือการระบาดและโรคติดต่อ หากเราสามารถกำจัดความกังวลใจในส่วนตรงนี้ จะทำให้บรรยากาศที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวมันเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น

อย่างแรก อ.ยุคลวัชร์มองว่า บุคลากรหรือคนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่จะต้องสัมผัส บริการนักท่องเที่ยว ตรงนี้ต้องให้มั่นใจว่าได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด 100% คือเป้าหมาย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนได้ฉีดครบ 100% ทันที แต่ต้องเป็นวัคซีนมีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดความอุ่นใจ ไว้วางใจได้

อย่างตอนนี้ทุกคนคงได้ยินตัวอย่างของภูเก็ตแซนด์บอกซ์ (Phuket Sandbox) ซึ่งจะลองให้ภูเก็ตเป็นโมเดลทดลอง อ.ยุคลวัชร์ย้ำว่า หลังการดำเนินการไปได้พักหนึ่ง รัฐบาลและผู้ประกอบการก็จะเริ่มเห็นเมื่อมีนักท่องเที่ยวกลับมาจริงๆ สถานการณ์จริงๆ จะเป็นแบบไหน พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ ค่าใช้จ่ายต่อหัว ความระมัดระวังในการใช้จ่าย ความระมัดระวังด้านความสะอาดจะเป็นอย่างไร

สิ่งสำคัญที่อยากฝากไว้คือ หลังจากการใช้ภูเก็ตเป็นตัวนำร่อง รัฐต้องถอดบทเรียนจากภูเก็ตว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องกังวลใจ ก่อนจะนำไปต่อยอดสู่การเปิดประเทศจริงๆ

ยกตัวอย่างว่า สมมุติว่า ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ (Phuket Sandbox) โมเดลนี้ทดลองจริงแล้วพบว่า นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในแง่ของความกังวลใจ ความสะอาด หรือเม็ดเงินการใช้จ่าย ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะต้องรีบนำไปถอดบทเรียน องค์ความรู้ พฤติกรรมใหม่เหล่านี้ไปถ่ายทอด นำเอาไปเป็นต้นแบบเพื่อพัฒนาให้พื้นที่ท่องเที่ยวอื่นๆ จังหวัดอื่นๆ ได้เตรียมความพร้อม

อ.ยุคลวัชร์คาดว่า นักท่องเที่ยวจากต้นแบบโมเดลภูเก็ตมีแนวโน้มที่อาจจะมีความสอดคล้องกับกลุ่มที่จะมาทดลองในจังหวัดภูเก็ต 1 กรกฎาคมนี้เช่นเดียวกัน

ท้ายที่สุด ในมุมมองของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยากให้อุ่นใจด้วยว่ากลุ่มคนด้านการท่องเที่ยวที่สร้างเม็ดเงินให้กับประเทศจะได้รับวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อได้ เพราะ “สิ่งที่น่ากลัวคือสิ่งที่เรียกว่า เปิดๆ ปิดๆ” อาจจะสร้างความเสียหายมากกว่าเจ็บแต่จบ และเปิดเมื่อพร้อมจริงๆ