เชิงบันไดทำเนียบ : ระบอบชินสุวรรณ !! พลังวันวาน ‘จันทร์ส่องหล้า’ – เจาะสัมพันธ์ ‘โทนี่-ธรรมนัส’

การออกมาจัดคลับเฮ้าส์ของ “พี่โทนี่-ทักษิณ ชินวัตร” ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บุคคลที่ “ทักษิณ” พาดพิงเชิง “ทวงบุญคุณ” หนีไม่พ้น “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่ “ระบอบ3ป.บูรพาพยัคฆ์” ทว่าสิ่งที่ “ทักษิณ” พูดในคลับเฮ้าส์ก็เป็นลักษณะ “พูดไม่หมด-เลือกที่จะพูด”
.
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การที่ พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ได้ ถึงขั้นต้องโยก “บิ๊กตุ้ย-พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร” ญาติผู้พี่ จาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เพราะมีแรงหนุนจาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” นั่นคือพลังของ “หญิงอ้อ-คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” นั่นเอง ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็มีความใกล้ชิด “บ้านจันทร์ส่องหล้า”
.
โดยในอดีตถึงขั้นจะมีการจับคู่ให้ พล.อ.ประวิตร แต่งงานด้วย เพราะเป็นนายทหารโสด เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ “จันทร์ส่องหล้าคอนเนคชั่น” แต่สุดท้าย พล.อ.ประวิตร ก็เลือกครองโสดมาถึงปัจจุบัน

ดังนั้น พล.อ.ประวิตร จึงมีจุดเชื่อมโยงถึง “คุณหญิงอ้อ” เป็น “ทุนเดิม” มาตั้งแต่อดีต และในปัจจุบันหลัง “คุณหญิงอ้อ” ได้เข้า “เทคโอเวอร์พรรคเพื่อไทย” ทำให้ “หญิงหน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์” ต้องยกธงขาวออกจากพรรค ไปตั้งสำนักใหม่พรรคไทยสร้างไทยแทน และก็เกิดการปรับโครงสร้าง กก.บห.เพื่อไทย ครั้งใหญ่
.
อีกทั้งเป็นที่รู้กันในพรรคเพื่อไทยว่า บุคคลที่เปรียบเป็นตัวแทนคุณหญิงอ้อ ก็คือ ‘คุณแจ๋ว’จุฑารัตน์ เมนะเศวต เพื่อนรัก สมัยเรียน ร.ร.เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ รุ่น “SJC1315” ที่เข้ามามีบทบาทในพรรค
.
แน่นอนว่า “ตระกูลชินวัตร” ยังคงมี “อิทธิพลในพรรค” สามารถชี้ขาดสิ่งต่างๆได้ หนึ่งในนั้นคือการ “อภิมหาดีล” ที่คลอกระแสมาตั้งแต่ปี63 นั่นคือการจับมือระหว่าง “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” ที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นแล้ว
.
นั่นคือการจัดทำร่างแก้ไข รธน.60 ที่ 2 พรรคใหญ่ เห็นพ้องเรื่องบัตร 2 ใบ และระบบการนับคะแนนแบบ รธน.40-50 ที่ทำให้พรรคใหญ่ได้เปรียบ แม้จะถูกตีตกทั้งร่างเพื่อไทย-พลังประชารัฐ แต่ก็ยังอยู่ในเกมที่ทั้ง 2 ฝ่าย โอเคดี
.
เพราะสุดท้ายได้รับอานิสงค์จากร่างของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอเรื่องบัตร 2 ใบเช่นกัน แบ่ง 400 เขต 100 บัญชีรายชื่อ ซึ่งร่างทั้ง 3 พรรค ต่างกันเรื่องรายละเอียด ที่พรรคเพื่อไทย-พปชร. กำหนดกรอบมากเกินไป ส่วน ปชป. ไม่ได้กำหนดกรอบมากนัก โดยจะมีการถกในชั้นกรรมาธิการต่อไป
.
โดยระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ จะทำให้พรรคขนาดกลางและเล็กเสียเปรียบ ถูกมองว่าเป็นการ “กินรวบ 2 พรรคใหญ่” ทว่าที่ ปชป. เสนอเช่นนี้เพราะ ปชป. อยู่ในสภาวะที่ไปได้ทั้ง 2 ทาง คือ จะรูปแบบใด ก็คงสถานะตัวเองได้ คือ ไม่เล็กและไม่โตไปกว่านี้ หรือ “ประคองตัวเอง” ในสถานการณ์เช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ และจะเห็นได้ว่า “อู๊ดด้า-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ลงพื้นที่ถี่ยิบ ราวกับไปหาเสียง
.
ยังไม่นับรวม “ส.ส.ฝากเลี้ยง” ที่มีให้เห็น ผ่านการลงมติต่างๆ รวมทั้งการตั้ง “พรรคสำรอง” ของฝั่งผู้มีอำนาจ อย่างน้อยๆก็รองรับ ส.ส. ที่จะเข้าร่วม “โปรย้ายค่าย” ซึ่งการไปพรรคสำรอง ที่มีภาพเป็นพรรคกลางๆ เพื่อลดโทนการถูกโจมตีจากเอฟซีหรือฐานเสียงมากจนเกินไป ตอนนี้เริ่มมีรายชื่อบุคคล “ต่อร่วมโปรฯ” ให้ได้ยินเรื่อยๆ
.
โดยเฉพาะ ส.ส. ที่มีฐานเสียงในระดับพื้นที่ ต้องทำพื้นที่เป็นหลัก การจะดูแลพื้นที่ได้ทั่วถึงนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ในเรื่อง “งบประมาณ” และ “สายป่าน” ต่างๆ

มากันที่ชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่นั่ง เลขาธิการ พปชร. ชนิดที่ “ขั้วหลวงพ่อป้อม” ต้องหักกับ “ขั้วสามมิตร” แต่ศึกครั้งนี้ต้อง “รวดเร็ว” และ “รุนแรง” ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการ จึงทำให้ พปชร. รีบดัน ร.อ.ธรรมนัส ขึ้นมา
.
หากย้อนประวัติ ร.อ.ธรรมนัส เริ่มเล่นการเมืองช่วงปี2542 ในนามพรรคไทยรักไทย ซึ่ง ร.อ.รรมนัส เป็นน้องเลิฟของ “เสธ.ไอซ์”พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต เพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ของนายทักษิณ โดย “เสธ.ไอซ์” ดูแลเรื่องทีม รปภ. ให้นายทักษิณ ผ่านบริษัทการ์ด ที่มี ร.อ.ธรรมนัส ร่วมเป็นเจ้าของนั่นเอง
.
ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ถือเป็นอีกคีย์แมนในไทยรักไทยยุคนั้นด้วย เรื่อยมาถึงพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับ นายทักษิณ ถือว่ามีความใกล้ชิดกัน เพราะ ร.อ.ธรรมนัส เป็นมือทำงานของทักษิณมากก่อนด้วย เรียกได้ว่า คิดอะไรก็รู้ทันกันหมด

จึงอย่าได้แปลกใจที่ทั้ง ร.อ.ธรรมนัส และ ทักษิณ จะไม่กล่าวพาดพิงกันในเห็น อีกทั้ง ร.อ.ธรรมนัส ก็คุ้นเคยกับ “เจ๊แดง”เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ อีกผู้ทรงอิทธิพลในพรรคเพื่อไทย เพราะต่างดูแลพื้นที่ภาคเหนือมาด้วยกัน โดย ร.อ.ธรรมนัส มีถิ่นฐานอยู่ที่ จ.พะเยา
.
ดังนั้นการดัน ร.อ.ธรรมนัส ขึ้นมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในความรีบเร่ง รวมทั้งกระแสข่าว 2 พรรคใหญ่ ทำโปรเจค “อภิมหาดีล” ร่วมกัน เพราะคนใน พปชร. ที่เป็น “ระดับคีย์แมน” หลายคน ก็ล้วนอยู่กับ “พี่โทนี่” มาทั้งนั้น
.
สภาวะบ้านเมืองตอนนี้ จึงอยู่ภายใต้ “เงาซ้อนเงา” นั่น คือ “ระบอบ 3ป. – ระบอบทักษิณ” เรียกว่า “ระบอบชินสุวรรณ” นั่นเอง