อนุสรณ์ ติปยานนท์ : In Books We Trust (18) หนังสือแห่งความหวัง (7)

 

In Books We Trust (18)

หนังสือแห่งความหวัง (7)

 

หลายปีถัดมา เด็กหนุ่มเดินทางไปเยือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะอุฟฟิฟิที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ระหว่างที่เขายืนอยู่หน้าภาพวาดกำเนิดวีนัสของบอคติเชลลี่นั่นเอง เขาก็นึกถึงเหตุการณ์นี้อีกครั้ง รายละเอียดของเหตุการณ์ถาโถมเข้ามาหาราวกับน้ำป่าที่หลั่งไหลลงจากเทือกเขาสูง

เขาระลึกได้ถึงอาการหวาดกลัวตัวสั่นของตนเองหลังการเปิดประตูห้อง เขาระลึกได้ถึงอาการอับอายขายหน้าของตนเองหลังจากปิ่นกวาดสายตาเข้าไปภายในพื้นที่นั้น เขาระลึกได้ถึงความอดสูและอยากหลบหนีไปให้ไกลแสนไกลเมื่อปิ่นนั่งลงเบื้องหน้าภาพวาดหนึ่งที่มีใบหน้าของเธอเป็นจุดสนใจ และเขาระลึกได้ถึงความสิ้นหวังย่อยยับอัปราเมื่อปิ่นเดินไปเปิดผ้าม่านที่ปิดบังแสงแดดจากภายนอกภายในห้องของเขาด้วยมือของเธอ

“เธอไม่ควรอยู่กับความมืดมากเกินไปแม้ว่ามันจะให้ความสงบแก่จิตใจของเราก็ตามที”

เขานิ่งเงียบ ไร้ถ้อยคำใดจากเขา

ปิ่นนั่งลงบนเตียงของเขา ถือวิสาสะมองไปรอบๆ บนฝาผนังที่มีรูปของเธอ เหนือพนักหัวเตียงมีรูปของเธอ บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขามีรูปของเธอ ไม่เว้นแม้แต่เหนือตู้เสื้อผ้าของเขาที่ตั้งเป็นเครื่องเรือนเพียงชิ้นเดียวในนั้นที่ยังมีรูปของเธอวางประดับอยู่

“เธอใช้เวลาในห้องนี้มากน้อยเพียงใด” ปิ่นเอ่ยถาม

“แทบจะตลอดเวลา” เด็กหนุ่มตอบ “หากไม่ใช่ช่วงเวลาสอบ เราอาจออกไปหาเพื่อนบ้าง แต่ในช่วงเวลาของการคร่ำเคร่งกับตำรานั้น เราอยู่ในนี้แทบจะตลอดวัน”

หลังตอบคำถามนั้น เด็กหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เคยตระเตรียมสรรพนามสำหรับการสนทนากับปิ่นหรือเพื่อนผู้หญิงมาก่อนเลย สำหรับเพื่อนชายเพศเดียวกัน เขามีสรรพนามมากมายสำหรับการสนทนา กันหรือกูสำหรับตนเอง นายหรือมึงสำหรับคู่สนทนา แต่สำหรับเพศหญิงเขาแปลกใจตนเองที่ไม่ใช้คำว่าฉัน หากแต่เลือกคำว่าเรามาใช้แทน

“เธอรู้ไหมสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปในห้องนี้คืออะไร?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธคำถามนั้น เขานึกถึงสิ่งใดไม่ออกเลย สิ่งใดเล่าที่ขาดหายไปในห้องนี้

“ดอกไม้ เธอควรมีดอกไม้สักช่อ มีสีสันแบบใดก็ได้ หรืออย่างน้อยเธอควรมีต้นไม้สักต้นในห้องนี้ ต้นเล็กๆ ที่เธอพอจะมีเวลาดูแล รดน้ำมัน”

เด็กหนุ่มพยักหน้า

“เราอาจอยู่กับตนเองได้ตลอดเวลา แต่กระนั้นเราก็พึงมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างไว้เคียงคู่ ความโดดเดี่ยว เดียวดาย กับความเหี่ยวเฉา หม่นซา นั้นแตกต่างกัน”

เด็กหนุ่มคิดถึงปลากัดจีนตัวนั้นขึ้นมา เขาอยากบอกปิ่นว่าเขาเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในห้องนี้ แต่บัดนี้สิ่งมีชีวิตนั้นได้ไร้ชีวิตเสียแล้ว

ปิ่นมองไปนอกหน้าต่าง เธอเอ่ยว่า “เธอดูแสงแดดนั้น มันส่งแสงเรื่อเพราะ อีกไม่นานฟ้าก็จะมืดไล่แสงเหล่านั้นไป เวลาเช่นนี้สร้างความหดหู่ให้แก่เราได้ไม่ยากเลย การมีสิ่งมีชีวิตในห้องจะช่วยบรรเทาเราในเวลาเช่นนี้เอง”

ปิ่นลุกขึ้นจากเตียง เธอเดินผ่านเข้าไปก่อนจะหันมาพูดกับเขาว่า

“ฉันขอตัวกลับก่อน ขอบคุณที่อนุญาตให้ฉันมาเยี่ยมชมห้องของเธอ ฉันคิดว่าจะได้เจอหนังสือจำนวนมากที่นี่ แต่ฉันไม่ผิดหวังหรอกที่ไม่ได้เจอหนังสือเหล่านั้น พบกันที่โรงเรียนวันพรุ่งนี้ ฉันจะหาต้นไม้ไปฝากเธอ”

ปิ่นเดินลงบันได ยกมือไหว้พ่อและแม่ของเขาก่อนจะขึ้นรถของเธอที่จอดรออยู่ เด็กหนุ่มไม่ได้เดินลงไปส่งเธอ เด็กหนุ่มไม่ได้ขยับกาย เด็กหนุ่มไม่ได้ทำสิ่งใดเลยแม้กระทั่งการเอ่ยว่าสิ่งที่มีชีวิตในห้องของเขานั้นมีอยู่และมีอยู่อย่างมากมาย สิ่งนั้นคือภาพวาดของเธอ

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มไปถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่ เขาตรงไปที่ห้องสมุด บรรณารักษ์ผู้นั้นมาถึงหลังเขาราวครึ่งชั่วโมง เขามองดูเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มก่อนจะเปิดประตูห้องสมุด เปิดไฟตามจุดต่างๆ ตั้งกาน้ำร้อนก่อนจะชงกาแฟขึ้นดื่ม ในขณะที่เด็กหนุ่มนั่งรอที่โต๊ะประจำของเขาในห้องสมุด ไม่มีนักเรียนคนใดเข้ามาในห้องสมุดหลังจากนั้น เด็กหนุ่มนั่งอยู่เพียงลำพังจนสัญญาณเข้าเรียนช่วงเช้าดังขึ้น ไม่มีการปรากฏตัวของปิ่น ไม่มีวี่แววแม้แต่เงาของเธอ

เมื่อเด็กหนุ่มเข้าไปในชั้นเรียน เขาก็พบว่าโต๊ะนักเรียนของปิ่นไร้ร่างของปิ่น ไม่มีเธอในชั้นเรียน หากปิ่นจะมาโรงเรียนสาย นี่จะเป็นการมาโรงเรียนสายครั้งแรกของเธอ การเรียนดำเนินไปอย่างน่าเบื่อหน่ายโดยเฉพาะสำหรับเด็กหนุ่มผู้เชื่อมั่นว่าเขาได้สอบผ่านการสอบเทียบไปแล้ว เขามองไปที่ประตูห้องเรียนทุกครั้งที่รู้สึกตัว วาดหวังว่าจะเห็นภาพของปิ่นเดินเข้าห้องเรียนมา แต่ไม่มี ปิ่นไม่ได้มาโรงเรียนในวันนั้น และเธอไม่ได้กลับมาที่โรงเรียนอีกเลย

ปิ่นหายไปจากโรงเรียน เธอหายไปพร้อมกับต้นไม้ที่เธอให้คำมั่นว่าจะนำมาให้เขา

 

ชีวิตดำเนินไปอย่างรวดเร็วสำหรับเด็กหนุ่ม หลังผลการสอบเทียบประกาศออกมา เขาสอบผ่าน เขาใช้ใบประกาศนียบัตรนั้นสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ต้องการได้ เขาบอกลาเพื่อนๆ ในห้อง

มีงานเลี้ยงอำลาเล็กๆ จัดขึ้นที่บ้านของเขา เพื่อนสนิทสี่หรือห้าคนมาร่วมงานในวันนั้น พ่อและแม่ของเขาลงมือทำครัวอย่างสุดฝีมือ เขาดื่มเบียร์เป็นครั้งแรกในงานวันนั้น เพื่อนๆ เขาก็เช่นกัน ทุกคนรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่หลายคนก็บอกว่าการได้ใช้ชีวิตนักเรียนอีกสักพักน่าจะเป็นการดี กระนั้นการจากไปของเขาก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม

“ขอให้มีความสุขในชีวิตมหาวิทยาลัย พวกเราจะคิดถึงนาย” งานเลี้ยงเลิกราในยามค่ำ เด็กหนุ่มเก็บกวาดถ้วยชามและแก้วเครื่องดื่ม เขาถือเบียร์หนึ่งขวดขึ้นไปที่ห้อง นั่งลงเบื้องหน้าภาพวาดของปิ่นในตำแหน่งเดียวกับที่ปิ่นเคยนั่งเมื่อหลายเดือนก่อน เด็กหนุ่มยกขวดเบียร์ให้กับรูปของปิ่นพลางพูด

“เราทำสำเร็จแล้ว แต่ทำไมเราไม่มีความสุขเลย เราพบแล้วว่าเธอคือความสุขของเรา และเราจะเชื่อเช่นนั้นแม้ว่าจะไม่ได้พบเธออีกต่อไปก็ตาม”

น่าแปลกที่ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขาไม่มีอะไรน่าจดจำ เขารู้สึกเหมือนคนแปลกที่แปลกทาง เขารู้สึกเหมือนคนที่ใส่เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัว

ในช่วงปีแรกๆ เขากลับไปที่โรงเรียนเก่าบ่อยครั้ง ใส่ชุดนักศึกษาไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด เขาเปลี่ยนที่นั่งมานั่งที่โต๊ะตัวที่ปิ่นชอบนั่ง เขามองไปที่ประตูห้องสมุดเสมอ หวังว่าจะมีภาพของปิ่นเดินเข้ามาแม้จะรู้ว่านั่นเป็นความหวังที่เลื่อนลอย ชายผู้เป็นบรรณารักษ์ยิ้มให้เขาทุกครั้งที่สบตา

ในตอนนี้เขาถือวิสาสะชงกาแฟให้เด็กหนุ่มด้วย คนทั้งคู่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องสมุด นั่งอยู่ในที่ว่างที่ไม่เคยมีบุคคลที่สามมาเยือน

 

แม้จะไม่พึงพอใจกับชีวิตในมหาวิทยาลัยเท่าใดนัก แต่เด็กหนุ่มกลับมีผลการเรียนที่ดี ภาพวาดของเขาได้รับรางวัลอยู่เสมอ

ชื่อของเขากลายเป็นชื่อที่หลายคนคุ้นเคยในแวดวงศิลปะในฐานะของศิลปินรุ่นใหม่

ภาพวาดของเขาเป็นภาพวาดใบหน้าของหญิงสาว เป็นภาพพอร์ตเทรตที่มีลักษณะเฉพาะตัว

มันเป็นภาพวาดที่เสมือนถูกวาดผ่านเมฆหมอกบางประการ

มีบางมุมของใบหน้าหญิงสาวเหล่านั้นที่ชัดเจนและมีบางมุมของใบหน้าหญิงสาวเหล่านั้นที่พร่าเลือน

มันเป็นภาพวาดที่มีมนต์สะกดต่อผู้พบเห็น มันเป็นภาพวาดที่ผู้พบเห็นจะจดจำมัน

ห้าปีผ่านไป เขาสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนสูง เขาได้รับเกียรตินิยม ในวันรับปริญญา เขาได้รับดอกไม้มากมาย เพื่อนจากโรงเรียนมาถ่ายรูปคู่กับเขา

กิจกรรมสามัญที่ชุลมุนวุ่นวายแต่เป็นกิจกรรมที่ขาดเสียไม่ได้ พ่อกับแม่ของเขามีสีหน้าเบิกบาน

งานเลี้ยงในคืนนั้นพ่อกับแม่ของเขาจัดให้เขาเป็นพิเศษที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง

ญาติสนิทและใครอีกหลายคนที่เขาไม่คุ้นเคยมาในงานนั้น เขาดื่มเบียร์อีกครั้งในคืนนั้น ดื่มมากมายเสียจนแทบจะใช้คำว่าขาดสติก่อนจะขึ้นรถของครอบครัวกลับมาที่บ้าน

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาพบช่อดอกไม้หนึ่งถูกแขวนไว้ที่ประตู ในช่อดอกไม้นั้นมีจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายที่ถูกส่งมาจากปิ่น

จดหมายที่เขารอคอยมาแสนนาน