เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา ปิดคดีลุงวิศวะยิงโจ๋ 17 โทษจำคุก-รอลงโทษ!! ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา

ปิดคดีลุงวิศวะยิงโจ๋ 17

โทษจำคุก-รอลงโทษ!!

ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ

 

ถือเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง

สำหรับคดีลุงวิศวะ ที่ก่อเหตุยิงนักเรียน ม.4 วัยเพียง 17 ปี เสียชีวิตเมื่อปี 2560

โดยมีสาเหตุมาจากการทะเลาะวิวาทเรื่องจอดรถขวางกัน ที่ร้านขายของฝากใน อ.อ่างศิลา จ.ชลบุรี ก่อนจะลุกลามบานปลายมาเป็นการทำร้ายร่างกายและเหตุฆาตกรรม

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์มีคำพิพากษาในความผิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำคุก 10 ปี

แต่ในชั้นศาลฎีกา ศาลกลับคำพิพากษาลงโทษ โดยชี้ว่าเป็นการป้องกันตัว ลดโทษจำคุกลงเหลือ 3 ปี 4 เดือน

โทษจำคุกรอลงอาญา!??

ขณะที่ลุงวิศวะเองที่หายตัวไป ไม่มาฟังคำพิพากษาในชั้นศาลฎีกา จนถูกออกหมายจับและริบเงินประกัน ก็คงจะเดินทางเข้ามารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยังเป็นคดีอุทาหรณ์ว่าการที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้นั้น

ส่งผลเสียให้กับชีวิตตนเองและผู้อื่นอย่างไรบ้าง!?

ลุงวิศวะเมื่อครั้งมาสู้คดี

ฎีกาตัดสิน-ปิดคดีลุงวิศวะ

วันที่ 17 มิถุนายน ที่ศาลจังหวัดชลบุรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 56 ปี วิศวกรบริษัทเอกชน เป็นจำเลยในความผิดฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ในการก่อเหตุยิงนายนวพล ผึ่งผาย หรือปอนด์ อายุ 17 ปี ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ พิพากษาจำคุก 10 ปี ปรับ 2 พันบาท และให้ชดใช้สินไหมทดแทน 340,000 บาท

โดยก่อนหน้านี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 12 พฤษภาคม แต่จำเลยไม่เดินทางมาศาล จึงสั่งริบเงินประกันจำนวน 874,000 บาท พร้อมออกหมายจับนำตัวมาฟังคำพิพากษาศาล

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่สามารถจับกุมตัวมาได้ ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาลับหลัง ระบุว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า มูลเหตุคดีเริ่มต้นเมื่อพวกของผู้ตายจอดรถตู้ซ้อนคันกับรถยนต์ของจำเลย โดยไม่สนใจว่ารถยนต์ของจำเลยที่จอดริมฟุตปาธจะออกได้หรือไม่

เมื่อภริยาจำเลยแจ้งให้ทราบว่ารถยนต์ของจำเลยกำลังจะออก แต่พวกของผู้ตายไม่ขยับให้ กลับบอกให้รอก่อน การจอดรถซ้อนคันขวางทางออกถนนของรถยนต์คันอื่น ทั้งมิยอมรีบขยับรถให้รถคันที่ตนจอดขวางอยู่ออกไปได้ มิใช่เรื่องที่คนทั่วไปกระทำกัน

เหตุการณ์เช่นนี้ คนทั่วไปไม่ว่าใครก็ตามพบเจอ ย่อมต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา

จำเลยกล่าวถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง แต่มีเพียงถ้อยคำเดียวที่พวกของผู้ตายได้ยิน ก่อนที่จะพากันขึ้นรถยนต์ตู้ไป ส่วนถ้อยคำหยาบคายอื่นจำเลยกล่าวในรถยนต์ของตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พวกของผู้ตายรู้สึกว่าจะต้องเอาเรื่องกับจำเลย ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงแต่ทำให้จำเลยเสียเวลาไปบ้างเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตถึงขนาดต้องฆ่ากัน

จึงเชื่อว่าขณะที่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้ง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความคิดที่จะเอาเรื่องอีกฝ่าย เพราะเหตุจากการมีปากเสียงกัน

ส่วนเหตุการณ์ระหว่างทางตั้งแต่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายออกจากร้านขายอาหารทะเลแห้ง จนถึงเวลาก่อนจะถึงแยกครกใหญ่ พวกของผู้ตายเพียงแต่เปิดไฟสูงใส่จำเลย ไม่ได้ขับแข่ง ขับแซง หรือปาดหน้า ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้โดยง่าย

ด้านฝ่ายจำเลย พฤติการณ์ภายในรถแสดงให้เห็นได้ว่า ภายหลังออกจากหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้งไม่นาน จำเลยและภริยาต่างระงับความโกรธได้และเกรงว่าจะถูกฝ่ายผู้ตายทำร้าย จึงมีความคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจหรือบุคคลอื่น

เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ได้วางแผนไว้ก่อน

ยื้อชีวิตน้องปอนด์

ชี้ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ

เมื่อรถยนต์ของทั้งสองฝ่ายไปถึงแยกครกใหญ่ จำเลยไม่ได้ขับรถปาดหน้ารถพวกของผู้ตาย เพื่อไปจอดรถที่ริมฟุตปาธ และไม่ได้มีพฤติการณ์ยั่วยุให้คนในกลุ่มผู้ตายมาวิวาทต่อสู้กันอีก เมื่อมีคนในกลุ่มของผู้ตายหลายคนอยู่ล้อมรอบรถยนต์ของจำเลย ผู้ตายมุดศีรษะเข้ามาในรถยนต์ของจำเลย พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “มึงจะรบป่าว” หลายครั้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ตายจะเข้ามาทำร้ายจำเลยในชั่วเวลาอีกไม่นาน

ขณะเดียวกันจำเลยยังถูกพวกของผู้ตายชกต่อยจากทางด้านหลัง ย่อมถือได้ว่ามีอันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของจำเลยแล้ว ประกอบกับจำเลยนั่งอยู่ที่ที่นั่งคนขับอันเป็นการอยู่ในที่จำกัดและเคลื่อนไหวร่างกายได้ยาก

การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงออกไป จึงเป็นทางเดียวที่จะให้จำเลยพ้นจากการถูกทำร้ายโดยผู้ตายและพวกได้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

แต่เมื่อจำเลยเห็นอยู่แล้วว่าผู้ตายและพวกไม่มีอาวุธ หากจำเลยเพียงนำอาวุธออกมาขู่ว่าจะยิง หรือยิงออกไปโดยไม่จำเป็นต้องให้ถูกผู้ตายหรือยิงไปที่อวัยวะอื่นที่ไม่สำคัญของผู้ตาย ก็ย่อมเพียงพอที่จะยับยั้งมีให้ผู้ตายและพวกเขามาทำร้ายได้แล้ว จำเลยกลับใช้อาวุธยิงที่หน้าอกซ้ายของผู้ตาย แม้ยิงเพียงนัดเดียวก็ไม่เป็นการได้สัดส่วนกับภยันตรายที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นการกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ

ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เหตุคดีนี้เกิดจากฝ่ายผู้ตายจอดรถยนต์ขวางทางรถยนต์ของจำเลยจนเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย อันเป็นความผิดของฝ่ายผู้ตายด้วยส่วนหนึ่ง การรอการลงโทษให้แก่จำเลยน่าจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่าการลงโทษจำคุกไปเสียทีเดียว

ศาลพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนแล้ว รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติ 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน

ให้จำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการระงับควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนและให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 30 ชั่วโมง

ปิดคดี “ลุงวิศวะ” ด้วยคำพิพากษาศาลฎีกา

แม่เหยื่อฟังคำพิพากษา

ย้อนคำพิพากษาศาลชั้นต้น

สําหรับคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 เมื่อนายสุเทพพร้อมครอบครัวเดินทางกลับจากเที่ยวที่บางแสน และแวะซื้อของฝากที่อ่างศิลา ระหว่างจอดรถซื้อของ มีรถตู้ของกลุ่มน้องปอนด์มาจอดขวาง จนเกิดการตะโกนด่าทอกัน ก่อนจะขับรถออกมาแล้วเกิดจอดรถวิวาทกันอีกรอบ ครั้งนี้นายสุเทพใช้อาวุธปืนยี่ห้อรูเกอร์ ใส่กระสุน .380 ก่อเหตุยิงนายนวพลเสียชีวิต

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561 ระบุว่า พิจารณาพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่รับใบอนุญาต แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง

ปัญหาการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่าเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากพวกของผู้ตายซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ตู้ จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลย ทำให้มีปากเสียงกัน

หลังเหตุวิวาทจบลงไป ภายหลังจากพวกผู้ตายขับรถยนต์ตู้และรถยนต์เก๋งออกไปโดยมิได้ท้าท้ายจำเลยอีก หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ จอดรถรอสักพักหนึ่งก่อนเพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แต่จำเลยกลับขับรถตามรถทั้งสองคันนั้นไปในทันที ขับแซงรถยนต์ตู้ บีบแตรยาวใส่แล้วขับไปอยู่ด้านหน้า ทั้งภริยาจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพรถยนต์เก๋งพวกของผู้ตายไว้อีก ย่อมเป็นการท้าทายผู้ตายกับพวกให้เกิดโทสะและเข้ามาวิวาทกับจำเลย เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิม เนื่องจากจำเลยพาอาวุธปืนซึ่งบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาทเมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ

จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหันในลักษณะปาดหน้า และขัดขวางมิให้รถยนต์เก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายกับพวกมาตลอดเส้นทาง

จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะยิงกัน จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ จึงต้องฟังว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาท แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอน

จำเลยจะอ้างว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภริยา และหลานที่มากับจำเลย จึงมิอาจอ้างได้ว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะมาถึงจำเลย

จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืน และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง เห็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืน ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี ปรับ 2,000 บาท

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ก่อนถูกแก้อีกครั้งด้วยคำพิพากษาศาลฎีกา