กาละแมร์ พัชรศรี : เที่ยวกันยันเที่ยงคืน!

เดินทางไปหลายที่ทั่วโลก แต่ยังไม่เคยได้ไปแถวสแกนดิเนเวียสักที

คราวนี้ได้ไปนอร์เวย์ เลือกช่วงที่ไม่หนาวมากเพราะอยากจะดูความเขียวสดใสของธรรมชาติมากกว่าหิมะขาวโพลนและหนาวจับใจ

ถือว่าคิดถูกมากที่เดินทางในช่วงมิถุนายน แต่ถ้าช่วงกรกฎาคมจะเข้าช่วงไฮซีซั่น แดดจะแรงกว่านี้และมีฝนตกน้อยกว่า และคนจะเยอะ เอาว่าเจอฝนบ้างประปรายก็พอไหวล่ะค่ะ

พูดได้เลยว่าสำหรับคนชอบธรรมชาติ ป่าเขา น้ำตก ทะเล ที่นี่คือที่สุด!!!!

และคิดถูกมากที่ขับรถเที่ยวเอง เพราะเราจะอิสระมาก อยากจอดข้างทางเวลาเจอวิวสวย อยากดื่มด่ำกำซาบบรรยากาศตรงไหน เราก็จอดและใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่

ระหว่างการเดินทางจะเห็นคนขับรถบ้านกันเต็มไปหมด ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของฉันต่อไปว่า เราน่าได้เดินทางด้วยรถบ้านบ้าง ค่ำไหนนอนนั่น อยากนอนตรงวิวไหน ตื่นมาพร้อมกับวิวไหน เราเลือกได้เลย

และที่นอร์เวย์เขาอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี มีป้ายบอกทางชัดเจน มีสัญลักษณ์บอกว่าตรงไหนให้จอดพักได้ แล้วแต่ละที่สวยๆ ทั้งนั้น ตรงไหนมีร้านอาหารก็บอก บางแห่งก็ทำเป็นแคมป์สำหรับนักเดินทางโดยเฉพาะ ที่สำคัญคือปลอดภัยมาก

ระหว่างทางขับรถวิวที่เห็นตรงหน้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เลี้ยวโค้งไปทีร้องทัก “โอ้โห” “ว้าวววว” “เฮ้ยยยยยย” มันตะลึงงึงงันไปหมด แม้บางทีจะเป็นทางแคบๆ รถสวนกันมาไม่ได้ แต่เขาก็ทำทางหลบให้รถที่จะสวนกันแอบ แล้วค่อยๆ ผ่านกันไป

อีกอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจระหว่างขับคือ นอร์เวย์จะมีอุโมงค์เยอะมาก เพราะเขาต้องขุดภูเขาเป็นทางเดินรถ ให้อารมณ์เหมือนนั่งรถไฟในสวนสนุก อุโมงค์บางที่ไฟน้อย บางที่สว่างโล่ และบางอุโมงค์ก็ยาวถึง 25 ก.ม.!!!! คือขับแล้วแอบท้อว่าเมื่อไหร่จะเจอทางสว่างสักที

แต่เขาก็ให้กำลังใจคนขับรถด้วยการประดับประดาไฟเป็นสีๆ เหมือนดาวพอผ่านไป 5 กิโลแรก มีอีกทีคือคนครึ่งทางพร้อมทำที่พักให้หยุดรถหายใจ และมีอีกทีคือ 5 ก.ม.สุดท้าย เขาคงเข้าใจคนเข้าใจรถที่ขับในทางแคบและที่มืด มันมีความระวังสูงอยากให้ผ่อนคลายบ้าง

และเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นกำลังใจว่าอีกไม่กี่กิโลก็ถึงทางออกแล้วนะ

 

นอร์เวย์เป็นประเทศที่ใหญ่มาก คงต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะขับรถให้รอบประเทศได้ ไปตรงไหนก็ไม่ค่อยจะเจอผู้คน เจอแกะบ้าง วัวบ้างซึ่งมันก็ดูน่าอิจฉาและดูมีความสุขดีที่ได้เดินเล็มหญ้าท่ามกลางวิวสวยๆ

เนื่องจากมาในช่วงหน้าร้อนซึ่งจะมีปรากฏการณ์ที่ชื่อว่า “พระอาทิตย์เที่ยงคืน” คือกว่าพระอาทิตย์จะตกก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนน่ะค่ะ เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องใส่ผ้าปิดตานอนเพราะไม่อย่างนั้นแสงมันเข้าห้องตลอดเวลาทั้งยามก่อนหลับและยามยั่งไม่อยากตื่น เพราะอาทิตย์ขึ้นก็ตีสี่ตีห้าแล้ว (บางทีก็สงสัยว่านางไม่รู้จักพักผ่อนบ้างหรือ)

ดังนั้น เวลาในการท่องเที่ยวของเราจะยาวนานมากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นกำไรในการเดินทางแต่ละวัน ไม่เหมือนไปเที่ยวช่วงหน้าหนาว 4 โมงเย็นก็มืดแล้ว แต่พอเราไม่ค่อยดูเวลาระหว่างเดินทาง เราก็จะลืมไปว่ามันกี่โมงแล้ว มารู้ตัวอีกทีทำไมมันเหนื่อยๆ ตาเริ่มล้าๆ

อ้าว พอดูนาฬิกาปาไป 3 ทุ่มแล้ว

 

มีอยู่วันหนึ่งที่เราขับรถไต่ภูเขาไปเรื่อยๆ เพื่อขึ้นไปดูจุดชมวิว พอดูเสร็จฟ้ายังไม่มืดก็หาที่ไปเที่ยวต่อ คนที่นั่นแนะนำให้ไปดูกำแพงหิมะที่บนยอดเขา ก็บอกให้เราขับรถไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอเอง

เราก็ทำอย่างที่เขาบอกคือ ขับไปเรื่อยๆ จริงๆ เจอแกะเล็มหญ้าอย่างสบายใจท่ามกลางวิวที่อยากจะอยู่ตรงนี้สัก 3-4 วัน เหมือนฉากในนิทานที่มีแกะกินอยู่ข้างลำธารบนเนินเขา และเห็นหิมะปกคลุมบนยอดเขาอีกลูก มีบ้านเล็กๆ อยู่ข้างๆ วิวนอร์เวย์มักเหมือนภาพในหนัง ในนิทานที่เราเคยเห็นกัน

แต่การขับไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง มันเป็นการขับที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ แถมทางไปที่ด้านข้างคือเหว ไม่มีรั้วกั้น คนขับมือใหม่อย่างฉันเกร็งไปทุกส่วน หลังเริ่มไม่ติดเบาะ ขาสั่นนิดๆ และพอไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่สองข้างทาง อุณหภูมิลดต่ำลงเหลือประมาณ 5-6 องศา รอบข้างเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่มันสวยงามเหลือเกิน ไม่อยากจะเชื่อว่าเราขึ้นมาถึงยอดเขาขนาดนี้

ภาพที่เห็นมันเหลือเชื่อจริงๆ

พอขับไปเรื่อยๆ ขึ้นเนินเล็กๆ พอลงเนินเราเห็นภาพพระอาทิตย์ที่อยู่ลิบๆ ริมขอบฟ้า เป็นแสงสว่างจ้าท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมยอดเขา ดูเวลาคือ 4 ทุ่ม เหมือนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาให้กำลังใจคนเดินทางไกลอย่างเรา ฉันและเพื่อนร้องกรี้ดกันลั่นรถ ตะลึงกับภาพตรงหน้า

กว่าจะได้กลับที่พักปาไป 5 ทุ่มกว่า เป็นการเดินทางในหนึ่งวันที่คุ้มค่ามาก กลับบ้านมาแล้ว ทุกวันนี้ภาพวิวที่นอร์เวย์ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ทุกวี่วัน

มันยังตราตรึงประทับอยู่ในใจไม่เสื่อมคลาย…