ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
ให้ตายเถอะฉันเพิ่งได้อ่านจากข่าวเกี่ยวกับโพสต์เฟซบุ๊กของเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ว่าด้วยทัศนะของเขาต่อประยุทธ์ จันทร์โอชา และทักษิณ ชินวัตร ความตอนหนึ่งว่า
“มีผู้ไม่พอใจที่ไทยพีบีเอสนำความเห็นของทักษิณมาออกอากาศคู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะคิดว่าความเห็นของนักโทษหนีคดี…ไม่น่ามีสิทธิแสดงความเห็นเป็นข่าวเทียบกับนายกฯ”
และให้ตายเถอะเป็นรอบที่สองที่ฉันเพิ่งจะรู้ว่า เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นประธานกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือไทยพีบีเอส
เดินออกจากกะลาไปยืนอยู่ไกลๆ แล้วมองกลับมาที่กะลาแลนด์ไทยนี้ เราสามารถพูดได้อย่างเรียบง่ายว่า เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นบุคคลที่มีส่วนในการสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารในปี 2549
และไม่ว่าจะอธิบายด้วยทฤษฎีไหนบนโลกใบนี้ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าการรัฐประหาร (ไม่ว่าจะที่ไหน) เป็นการกระทำทางการเมืองที่ถูกต้องชอบธรรม
หนักกว่านั้น ในมาตรฐานสากล เราถือว่าการรัฐประหารเป็น “อาชญากรรม” ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ประเด็นนี้สำหรับเมืองไทย ถ้าไม่เตือนกันบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยสำเหนียกว่า การรัฐประหารเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ในทุกกรณี ย้ำว่า ในทุกกรณี
มันน่าอดสูที่การรัฐประหารซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจที่สุด เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด เพราะมันคือการ “ปล้น” อำนาจประชาชน สถาปนาอำนาจของคณะรัฐประหารขึ้นมาเหนืออำนาจอธิปไตยอันควรเป็นของประชาชนทุกคนมาไว้ในมือของคนกลุ่มใดหลุ่มหนึ่ง กลับเป็นการกระทำที่ได้รับการยกย่อง เชิดชูในดินแดนที่เรียกว่าประเทศไทย
อดสูกว่านั้นในดินแดนที่เรียกว่าประเทศไทย นักข่าวในประเทศนี้สามารถถามบรรดานายพล และสามารถระริกระรี้ ยิ้มแย้มแจ่มใสกับบรรดานายพลที่พวกเขาชอบเรียกว่า “บิ๊ก” ว่า “จะมีการรัฐประหารไหม”
ราวกับว่าการรัฐประหารคือกลไกการหาทางออกให้กับประเทศอย่างถูกต้องชอบธรรม
และหากใครถูกถาม มันจะมีนัยว่า คนคนนี้คือคนที่สำคัญที่สุด เป็นคีย์แมนของประเทศ เป็นคนที่สามารถกดปุ่มเปลี่ยนประเทศให้เป็นอะไรก็ได้
สำหรับฉันมันวิปริตมากที่นักข่าวจะชื่นมื่น ระรี้ระริกกับนายพลและกับคำว่ารัฐประหาร แทนที่จะมองว่ามันเป็นสิ่งน่ารังเกียจและไม่อาจจะยอมให้เกิดขึ้น
ข้ออ้างคลาสสิคของการทำรัฐประหารในประเทศนี้คือ
หนึ่ง นักการเมืองคอร์รัปชั่น
สอง เกิดเผด็จการรัฐสภาโดยรัฐบาลเสียงข้างมาก
และข้อโต้เถียงคลาสสิคและเป็นสากลที่ฉันจะต้องเขียนอีกเป็นครั้งที่ล้านคือ
หนึ่ง ปัญหาคอร์รัปชั่นแก้ด้วยการทำให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่ “ฆ่า” ความเป็นประชาธิปไตยทิ้งในนามของการทำรัฐประหาร (จะไม่ลงรายละเอียดเพราะเขียนและพูดเรื่องนี้มาเป็นล้านรอบเช่นกัน)
สอง สิ่งที่เรียกว่า “เผด็จการรัฐสภา” เป็นวาทกรรมหลอกลวง ไม่มีอยู่จริงและคนเราถ้ามีเนื้อสมองเหลืออยู่บ้างในกะโหลกก็ควรจะคิดได้ว่า สิ่งนี้มันไม่มีจริง และหากจะมีพรรคการเมืองหนึ่ง ชนะการเลือกตั้งอยู่ได้ และมีเสียงข้างมากในสภาที่ออกกฎหมาย ออกนโยบายอะไรได้หมดเลย เพราะครองเสียงข้างมาก แต่เราไม่ชอบพรรคการเมืองนี้ สิ่งที่เราต้องคิดคือ
ทำไมเขายังชนะการเลือกตั้งอยู่ได้?
ก. เขาชนะเพราะเขาสามารถผลักดันนโยบายที่ทำให้ประชาชนชื่นชอบ ชื่นชม ได้ความนิยมจากผลงาน บริหารประเทศยอดเยี่ยมในสายตาคนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เรา
ข. เขาชนะเพราะเขาบริหารประเทศทั้งๆ ที่ทำงานห่วยมาก ประชาชนเกลียดมาก ออกมาสาปแช่งทุกวันอย่างมีฉันทามติ แต่ยังชนะการเลือกตั้งครองเสียงข้างมากในสภาได้เพราะไปแก้กฎหมายการเลือกตั้งให้ตัวเองชนะ และคนอื่นแพ้
ซึ่งฉันก็ต้องพูดตรงๆ ว่าถ้าจะมีพรรคการเมืองสักพรรคที่ชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้หลายสมัยเพราะข้อ ก. มันก็ช่วยไม่ได้ และถือเป็นความซวยของพรรคคู่แข่ง
สิ่งเดียวที่พรรคคู่แข่งต้องทำคือหาจุดอ่อนของพรรคนั้นให้ได้ ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลให้เข้มข้นขึ้น ไปบุกเบิกแผ้วถางทางของตนเองในสนามการเลือกตั้งท้องถิ่นเพื่อสะสมผลงาน ฐานเสียง
แล้วทั้งหมดนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือประชาชน
ดังนั้น หากประชาชนเจอวาทกรรม “เผด็จการเสียงข้างมาก” สิ่งที่ประชาชนควรทำคือเชียร์ให้ฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นมรรคผล ไม่ใช่ไปเชียร์ให้กองทัพ นายพลมาทำรัฐประหาร
อย่าง่าว อย่าประสาทแดก!
ปัญหาของคนไทยส่วนหนึ่ง (ที่มีอยู่ไม่น้อยคือ พอได้ยินคำว่า ผลประโยชน์ของนักการเมือง คอร์รัปชั่น เผด็จการเสียงข้างมาก แล้วเกิดภาวะแพนิกเฉียบพลัน จากนั้นสมองก็ดับ และตามมาด้วยภาวะหิวเผด็จการของจริง อยากเห็นทหารออกมาปราบนักการเมือง ปราบโกง บลา บลา
ส่วนข้อ ข. ถ้าชนะทั้งๆ ที่บริหารประเทศห่วยแต่ไปออกแบบกติกาให้ตัวเองชนะ – ว่ากันตามจริง ถ้าเรามีประชาธิปไตยแบบไม่ใช่รัฐพันลึก สิ่งนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ เพราะฝ่ายค้านในสภาจะค้านกันอย่างบ้าคลั่งและไม่มีวันสูญเสียโอกาส จังหวะทองคำที่จะโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองคู่แข่ง ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งม็อบบนถนน ทั้งสื่อ คงลากอีรัฐบาลนี้ออกมาตบกลางสี่แยกกันเละตุ้มเป๊ะอย่างปราศจากข้อสงสัย
อย่าว่างู้นว่างี้ อีพวกเนื้อสมองเสื่อม จะมากลัวอะไรกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่ามันจะกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาเพราะมันจะแก้กฎหมายให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งอยู่ร่ำไป เพราะในกะลาแลนด์แดนสยามนี้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกแก้รัฐธรรมนูญในมาตราว่าด้วยที่มาของ ส.ว. เปลี่ยนให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ยังโดนข้อหาล้มล้างการปกครอง และโดนม็อบออกมาไล่เหมือนไม่ใช่คน
สิ่งที่เราต้องกลัวในประเทศไทย ไม่ใช่เผด็จการรัฐสภา แต่ต้องกลัวเพื่อนร่วมชาติที่สมองเน่ายุ่ยเปื่อยเน่า กลัวนักการเมืองจนขี้ขึ้นไปอยู่ในสมองแทน เห็นเผด็จการทหารและการทำรัฐประหารเท่ากับการกู้ชาติกู้แผ่นดิน-ความวิปริต
อันนี้ต่างหากที่น่ากลัวและนำพาประเทศชาติให้ล่มจมจริงๆ
จะให้พูดอีกกี่ครั้ง ฉันก็จะพูดคำเดิมว่าความพังพินาศของประเทศไทยทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา สาธารณสุข วัฒนธรรม สิทธิมนุษยชน ในประเทศไทย โดยเฉพาะล็อตล่าสุดที่เราเจอทั้งภัยเผด็จการ ภัยผู้นำไร้ความรู้ความสามารถ ทวีคูณไปกับภัยโควิด มันเกิดจากการที่เรามีเพื่อนร่วมชาติสมองเน่า เห็นผิดเป็นชอบ
คิดว่าการรัฐประหารคือทางออกของประเทศ คือการปฏิรูปประเทศ คือการปราบโกง
สมองเน่าแต่เสียงดังจนพังกันไปทั้งชาติ
เห็นกับหูกับตานั่งดูเป็นพยานกันอยู่ทุกคนในเวลานี้ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ออกจากประเทศไทยไปจนจะครบทศวรรษ มีใครเห็นประเทศอยู่ในกราฟขาขึ้นสักหนึ่งวันไหม
ฉันอยากจะถาม!
ที่เขียนมาทั้งหมดเพื่อจะตอบคำถามว่าทำไมฉันถึงช็อกเมื่อได้อ่านโพสต์เฟซบุ๊กของเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และเพิ่งรู้ว่า เจิมศักดิ์เป็นประธานนโยบายของไทยพีบีเอส
ไทยพีบีเอสเป็นทีวีสาธารณะ เงินที่ใช้ในการดำเนินกิจการเป็นเงินภาษี และแม้จะเป็นภาษีบาป มันก็คือ “ภาษี” ภาษีควรจะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ และ ประชาชน ฉันขอให้ไทยพีบีเอสตอบคำถามดังต่อไปนี้
หนึ่ง ไทยพีบีเอสเห็นว่าการทำรัฐประหารเป็นอาชญากรรมต่อประชาชนหรือไม่?
สอง ไทยพีบีเอสสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือไม่?
สาม เพราะเหตุใด คนที่ถูกมองสนับสนุนการรัฐประหารเช่นคนแบบเจิมศักดิ์จึงได้รับเลือกให้มานั่งในตำแหน่งประธานนโยบาย?
ฉันไม่มีวันเรียกร้องให้ทีวีสาธารณะอย่างไทยพีบีเอสเป็นกลาง แต่ฉันขอเรียกร้องให้ไทยพีบีเอสซึ่งใช้เงินภาษีประชาชนทำงานและจ่ายเงินเดือนพนักงานและผู้บริหารทุกคนต้องเลือกข้างประชาธิปไตย หรืออย่างน้อยในทางมารยาท ไม่ควรมีผู้บริหารที่มีส่วนในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ในฐานะที่เป็นสื่อสาธารณะใช้เงินภาษีประชาชน คุณสมบัติแรกที่ต้องมีคือเคารพหลักการประชาธิปไตยสากล และประกาศออกมาให้ดังๆ ว่า การรัฐประหารผิดกฎหมายอย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่นำคนที่มีส่วนในการสนับสนุนรัฐประหารมานั่งเป็นผู้บริหารองค์กร
อย่ามาตีเนียน มือถือสากปากถือศีล เป็นคนดีจอมปลอม ปากว่าตาขยิบ มันน่ารังเกียจ
ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้ประธานนโยบายแสดงความคิดเห็นที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง เช่น การเรียกทักษิณว่าเป็นนักโทษหนีคดี เพราะในความเป็นจริงคือ ทักษิณคือนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งจากการที่เขาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย และได้กลายเป็นนักโทษเพราะถูกรัฐประหาร แม้แต่มดที่ไม่มีสมองก็คิดออกว่า ไม่มีคนสติดีคนไหนจะต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรมภายใต้อำนาจรัฐที่เพิ่งแย่งอำนาจไปจากตัวเองมาหลัดๆ
ส่วนประยุทธ์นั้นก่อนจะมาเป็นนายกฯ – ที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาในช่วงที่ตนเองเป็นนายกฯ ที่มาจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจมาจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เอาฝ่าเท้าตรองดูเถิดวิญญูชนว่าในมาตรฐานสากล ระหว่างประยุทธ์กับทักษิณ ใครคือบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมาย?
และท้ายที่สุดเรายอมรับได้หรือว่า สื่อสาธารณะที่ใช้เงินจากภาษีของประชาชนจะมีผู้บริหารนโยบายที่มีทัศนคติเป็นพิษต่อประชาธิปไตยและอำนาจของประชาชนถึงเพียงนี้
รักจะจูบเท้าเผด็จการ ไทยพีบีเอสก็เลิกรับเงินจากภาษีประชาชนเถอะ – รู้จักอายประชาชนบ้างถ้าอายตัวเองไม่เป็น