เครื่องเคียงข้างจอ : หนึ่งปีที่จากไป / วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

 

 

หนึ่งปีที่จากไป

 

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นเวลาครบ 1 ปีสำหรับการจากไปของเพื่อนรักของผมคนหนึ่ง ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง นั่นเอง

ย้อนไปหนึ่งปี ในคอลัมน์เครื่องเคียงข้างจอนี้ผมก็ได้เขียนถึงเขาด้วยความหลังที่ผูกพัน และด้วยปัจจุบันที่อาลัย

มาวันนี้ที่ครบหนึ่งปีดังว่า จึงขอเขียนถึงเขาคนนี้อีกครั้ง

 

แม้ตั้วจะจากไปครบหนึ่งปี แต่เรื่องราวของเขาในโลกโซเชียลยังคงมีให้แฟนๆ และคนที่คิดถึงได้แวะเวียนไปชมไปคิดถึงอยู่เสมอ มีแฟนคลับที่ขยันนำผลงานต่างๆ ของตั้วมาโพสต์ลงเป็นประจำ โดยเฉพาะผลงานด้านละครโทรทัศน์ที่เขาฝากผลงานโด่งดัง เป็นที่ติดตราตรึงใจไว้ก็หลายเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็น มนต์รักลูกทุ่ง, บ้านทรายทอง, นายฮ้อยทมิฬ, วนาลี, ทวิภพ หรือแม้กระทั่งกับผลงานเรื่องแรกของเขา “เก้าอี้ขาวในห้องแดง” ก็ยังมีลงเป็นคลิปๆ ให้ได้ย้อนชมกัน

รวมทั้งภาพบรรยากาศในงานสวดพระอภิธรรมศพและงานพระราชทานเพลิงศพของเขาที่ได้มีการนำเสนอไปแล้วในตอนที่มีงานนั้น ก็ยังมีให้ได้ชมเพื่อเรียกน้ำตากันได้อีก

ในบรรดาคลิปที่ว่านี้ ที่ประทับใจและสะเทือนใจคือคลิปให้สัมภาษณ์ของคนในวงการบันเทิงที่ต่างรู้สึกเศร้า เสียใจ และเสียดายต่อการจากไปของเขา หลายคนยกให้เขาเป็นครูที่สั่งสอน บางคนยึดเขาเป็นต้นแบบในการทำงานและการใช้ชีวิต

บางคนก็บอกว่าเขาเป็นคนจริงคนหนึ่งที่น่าชื่นชมยกย่อง

 

ในงานพระราชทานเพลิงศพ มีการจัดทำหนังสือที่ระลึกถึงเขาเพื่อมอบให้กับผู้มาร่วมงาน เป็นการทำอย่างเร่งด่วนในเวลาไม่ถึง 5 วัน ต้องอาศัยคนในวงการพิมพ์หนังสือมาจับงานแบบต้องให้ความสำคัญกันทุกนาที จึงจะสามารถรวบรวมเนื้อหา ภาพประกอบ คำอาลัยต่างๆ มาเรียบเรียงจัดอาร์ตเวิร์ก ตรวจปรู๊ฟ ส่งพิมพ์ และนำส่งถึงศาลาได้ทันในตอนเช้าของวันงานพระราชทานเพลิง

หนังสือเล่มสุดท้ายที่จัดใส่ซองพร้อมปิดผนึกอย่างดีก็เมื่อตอนเที่ยงวัน ก่อนจะถูกนำไปแจกในตอนบ่ายสองโมง

หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือหายาก แฟนๆ ผลงานของเขาหลายคนอยากได้เก็บเป็นที่ระลึก เพราะที่พิมพ์ออกมาสองพันเล่มนั้นหมดเสียแล้ว

ปกหน้าและปกหลังของหนังสือ เป็นผลงานของเพื่อนรักคนหนึ่งของเขาคือ “จิก-ประภาส ชลศรานนท์” ที่วาดภาพเหมือนของตั้วไว้อย่างงดงาม โดยเฉพาะตรงแววตาที่เศร้านักแล้ว

ส่วนปกหลังเป็นผลงานการประพันธ์โคลงของจิกเช่นกัน เขียนไว้ว่า

 

“เป็นเพื่อนเป็นพี่น้อง             เป็นครู

เป็นศิษย์ซึ่งกตัญญู               ยิ่งแล้ว

เป็นพสกนิกรผู้                   จงรัก

เป็นถ้วนแล้วพ่อแก้ว            กระจ่างแท้ศรัณยู”

 

เป็นโคลงที่สะท้อนตัวตนของความเป็นศรัณยู วงษ์กระจ่าง ได้อย่างแจ่มชัด และในโอกาสครบหนึ่งปี บรรดาแฟนคลับตัวจริงของศรัณยูก็ได้ทำของที่ระลึกออกมาแจกจ่ายกันและกัน ทั้งแก้วน้ำ กระเป๋า รวมถึงเสื้อยืดที่มีการนำโคลงบทนี้ไปพิมพ์บนเสื้อด้านหลังให้ได้รำลึกถึงอีกครั้งด้วย

สำหรับเนื้อในของหนังสือที่ระลึกของตั้วเล่มที่ว่านี้ มีประวัติส่วนตัวของเขา ประวัติการการศึกษา ผลงานการแสดง และเรื่องราวของครอบครัวอันเป็นที่รัก ซึ่งบรรจุรูปภาพในยุคสมัยต่างๆ ไว้ได้มากเท่าเวลาจะอำนวย รวมทั้งรายชื่อผลงานการแสดงละคร ภาพยนตร์ และละครเวทีของเขาที่มีกว่า 120 ผลงาน ไม่นับผลงานละครโทรทัศน์และภาพยนตร์จากการกำกับฯ ของเขาอีกร่วม 20 เรื่อง และงานพิธีกรอีกเกือบ 20 รายการ

คนคนหนึ่งมีโอกาสทำอะไรมากเช่นนี้และยืนระยะการยอมรับในวงการมาได้ร่วม 40 ปีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นั่นจึงทำให้มีคนชื่นชมศรัทธาในตัวเขามากมาย และใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วย

ขออนุญาตหยิบยกส่วนหนึ่งของคำเขียนถึงเขาในหนังสือที่ระลึกมาให้อ่านกันนะครับ

 

เปิ้ล หัทยา ผู้เป็นภรรยาเขียนไว้ว่า

“…ถ้าจะให้เขียนถึงพี่ตั้วในช่วงเวลานี้ คงมีแต่น้ำตาหยดออกมาเป็นตัวหนังสือ เพราะเรามีเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ได้คำตอบชัดเจนเสมอเวลาที่ถามพี่ตั้วว่า…อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต พี่ตั้วตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง คำตอบนั้นคือ ‘ความรัก’ แล้วจะคอยอธิบายให้ฟังว่า ถ้าเราทำทุกอย่างด้วยความรัก ด้วยความรู้สึกรัก เราจะเกิดพลัง มีความหวัง และตั้งใจ ถ้ามันไม่ใช่เราก็จะไม่เสียใจ เพราะเราทำมันไปด้วยความรัก…”

ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ้ย ได้เขียนถึงนักแสดงคนนี้ว่า

“…ในภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท บทที่ตั้วแสดงนั้นจะต้องมีการโกนผม ซึ่งตามปกติแล้วนักแสดงหรือดาราส่วนใหญ่มักจะไม่อยากโกนผมจริง แต่ตั้วกลับยอมปลงผมโดยไม่มีการอิดออดเลยแม้แต่น้อย…”

“…สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมและทีมงานจดจำและทึ่งในความสามารถ คือบทพูดในฉากราชาภิเษกที่ ‘ตั้ว’ จะต้องจำบทถึงแปดหน้า โดยผมต้องการจะถ่ายซีนนี้เป็นลองเทก (การถ่ายโดยไม่มีคัต) ตั้วสามารถจำได้ทั้งหมด โดยไม่มีคำผิดแม้แต่คำเดียว…”

สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำของกลุ่มที่ต่อสู้ทางการเมือง ได้พูดถึงผู้ร่วมอุดมการณ์คนนี้ว่า

“…วันนี้เป็นอีกวันที่รู้สึกเสียใจที่สุดเช่นกัน เพราะตั้วเหมือนน้องชายแท้ๆ และรู้สึกได้ถึงจิตใจที่น่ารักซึ่งตั้วมีให้พี่ชายคนนี้อย่างจริงใจ และจริงจัง โดยไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย จากจิตใจที่บริสุทธิ์ของตั้วที่สามารถสัมผัสและรู้สึกได้”

“ตั้วเป็นมนุษย์ในความเป็นมนุษย์ เป็นคนที่มีจิตใจดีงามมากๆ และเป็นคนที่ไม่หน้าไหว้หลังหลอก ทุกคำพูดและการกระทำของตั้วต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนมีแต่ความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทั้งสิ้น”

ยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับละครเวทีและภาพยนตร์ เขียนถึงพระเอกละครเวทีของเขาคนนี้ว่า

“…ในปี พ.ศ.2530 ขณะที่กำลังดังที่สุด ผมลองชวนเขามาเล่นละครเพลงเวที ‘สู่ฝันอันยิ่งใหญ่’ ครั้งแรก

เขาก็ตอบรับทันที ตลอดการซ้อม มีแต่ความมุ่งมั่นพัฒนาให้ผมเห็น

ตั้วเหมือนจะเป็นคนเงียบๆ มีโลกส่วนตัวสูง แต่มีอารมณ์ขัน สุภาพ และตั้งใจในการทำงานมากๆๆๆ

ผลจึงออกมาดีเยี่ยมอย่างศิลปินที่น่าเคารพ…”

 

และขอปิดท้ายด้วยคำอาลัยจากเพื่อนรักของเขา จิก-ประภาส ชลศรานนท์

“…สองสามปีก่อน เราเพิ่งเลี้ยงปีใหม่กัน และก็ได้กลับมาพูดจาไร้สาระเหมือนครั้งยังเป็นรุ่นกระทงกันอีก ตั้วยังเหมือนเดิม เป็นที่รักของเพื่อน ไม่เคยถือตัว พวกเราสนุกกันจนบางทีผมก็นึกขันว่า ชายวัยกลางคนที่ยังสง่างามคนนี้ คนที่ยืนหัวเราะตบบ่าเพื่อนอย่างสนุกอยู่ข้างหน้านี้ คือพระเอกแห่งยุคคนหนึ่งของสยาม

ผมถามตั้วในวันนั้นว่า ‘งานเป็นไงบ้าง วางแผนอะไรไว้’ ตั้วตอบสั้นๆ แบบไม่ต้องคิด

‘ยังสนุกอยู่ แผนวางไม่เยอะ แต่ดีใจที่ยังมีคนเสนอบทท้าทายมาให้เล่นอยู่’

ตั้วเป็นพระเอกตลอดกาลของผมจริงๆ

แม้แต่วันจะลาไป ตั้วก็ไปแบบพระเอก ไปแบบไม่ให้ใครเดือดร้อน ไปแบบไม่ให้ใครตั้งตัว ไปแบบพระเอกที่เคยช่วยนางเอก แล้วตอนจบก็ขี่ม้าออกไปจากหมู่บ้านอย่างมีความสุข

แม้จะเหงาเศร้าไปสักหน่อย แต่พระเอกคนนี้คงอยากให้พวกเราเก็บน้ำตาไว้ เก็บพลังใจไว้ เก็บสิ่งดีๆ ที่เขาสร้างไว้เป็นความทรงจำตลอดไป”