เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ / ก้าวข้ามขีดจำกัด

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ก้าวข้ามขีดจำกัด

สถานการณ์โควิดที่กำลังเขย่าโลกอยู่เวลานี้ ทำให้ทุกประเทศต่างต้องมาทบทวนวิถีชีวิตของตนว่าจะก้าวข้ามวิกฤตสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร

การได้ทบทวนวิถีชีวิตทั้งของสังคมและของคน ก็คือการ “ดูตัวเองด้วยตัวเอง” สมคำว่า “สิกขา” คือ “ศึกษา” นั่นเอง

โควิดมหาภัยโลกครั้งนี้จู่โจมไม่ให้มีโอกาสตั้งตัวไปทั้งโลก ทั้งตะวันตก ตะวันออก

ตะวันตกมีอเมริกาเป็นอันดับหนึ่ง

ตะวันออกมีอินเดียเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งรองจากอเมริกาเป็นอันดับสองของโลก

ไทยเรากำลังไต่อันดับอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน

จีนนั้นน่าสนใจยิ่ง แม้จะมีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เผชิญกับวิกฤตได้อย่างน่าศึกษายิ่ง แม้จะเป็นประเทศแรกที่ถูกเจ้าวายร้ายไวรัสจู่โจม

 

หนึ่งในการทบทวนดูตัวเอง คือการศึกษาถึงความสามารถและข้อจำกัดที่ประเทศชาติอันรวมถึงสังคมและประชาชนว่ามีอยู่อย่างไร พร้อมเผชิญและเอาชนะ เพื่อ “ก้าวข้าม” วิกฤตนี้ไปได้อย่างไรหรือไม่

ขณะนี้เราได้แต่ฝากความหวังไว้ที่วัคซีนกับการช่วยป้องกันตัวเองตามมาตรการที่มีอยู่เท่านั้น ซึ่งเจ้าวายร้ายไวรัสก็ดูจะรู้ทันด้วยมันเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีเข้าโจมตีแทบจะทุกช่องทางเช่นกัน เช่น กลายพันธุ์ และเมื่อคน “ประมาท-การ์ดตก”

มีคำพระว่า

“ทุกขาชาติปุนัปปุนัง”

แปลว่า “การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป”

และ

“เยธัมมา เหตุปภวา”

แปลว่า “สิ่งทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด”

เจ้าโควิดเป็นผลอันเกิดจากเหตุ ที่น่ากลัวคือเจ้าวายร้ายไวรัสนี้มันเกิดมาจากไหน จากอะไร

ขณะนี้โลกกำลังเคร่งเครียดกับการค้นหาสาเหตุนี้ และยังไม่เจอตัวต้นเหตุแท้จริง มันจึงนำเอาความทุกข์มาสู่คนอยู่ร่ำไป

สมคำว่า “ทุกขาชาติปุนัปปุนัง” คือ “การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป”

 

ประโยคธรรมนี้เป็นคาถาของพระอัสสชิ ซึ่งทรงเป็นหนึ่งปัญจวัคคีทั้งห้าที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์เป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมามีผู้ถามท่านอัสสชิว่า ศาสดาของท่านแสดงหัวใจแห่งธรรมว่าอย่างไร

พระอัสสชิจึงตอบว่า

“เยธัมมา เหตุปภวา

เตสังเหตุมตถาคะโต

เตสัญจะโยนิโรโธจะ

เอวังวาทีมหาสะมะโณ”

แปลความว่า

“สิ่งทั้งปวง (ธรรม) เกิดแต่เหตุ (มีเหตุเป็นแดนเกิด)

พระองค์กล่าวถึงเหตุนั้น

และกล่าวถึงการดับซึ่งเหตุนั้นด้วย

พระมหาสมณะกล่าวเพียงเท่านี้”

เหตุอันเป็นแดนเกิดของเจ้าวายร้ายไวรัสนี้ยังหากันไม่เจอ วัคซีนต่างๆ เป็นเพียงการสุ่มเสี่ยงเพื่อจะดับเหตุนั้น ตราบใดยังไม่เจอเหตุอันเป็น “แดนเกิด” ของเจ้าวายร้ายไวรัส ก็จะยังไม่มีหลักประกันว่าจะ “ดับซึ่งเหตุ” นั้นได้อย่างไร อยู่ตราบนั้น

ดังนั้น จึง “ทุกขาชาติปุนัปปุนัง” อยู่ร่ำไป

คือการเกิดทุกคราวเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป

 

ขณะนักวิทยาศาสตร์ขะมักเขม้นหาเหตุ พระท่านก็เพ่งผลด้วยบทสวดดังบัญญัติศัพท์เรียกเจ้า “โควิด” ว่า “โควิโท” อย่างขมุกขมัวอยู่เช่นกัน

ทั้งหมดนี้คืออุปสรรค อันเป็นข้อจำกัดหรือขีดจำกัด ซึ่งมนุษย์ยังมิอาจก้าวข้ามไปได้

ไม่มีภาวะใดจะท้าทายมนุษย์มากไปกว่านี้ได้อีกแล้วกระมัง

ฤๅโลกจะถึงกาลล่มสลาย

เคยได้ฟังนักดาราศาสตร์อธิบายเส้นทางโคจรของระบบสุริยะว่า ระบบสุริยะทั้งระบบอันมีทั้งดาวเคราะห์บริวารซึ่งมีโลกและดวงจันทร์รวมอยู่ด้วยนี้มีเส้นทางโคจรเป็นวงกลมรีแบบรูปไข่

โดยด้านรีแหลมคว่ำอยู่ด้านล่าง หมายความว่าทั้งดวงอาทิตย์และบริวารทั้งหมดคือดาวเคราะห์ทั้งหลายนี้กำลังเคลื่อนลงต่ำมาด้านวงรีรูปไข่

เมื่อถึงปลายสุดก็จะค่อยเคลื่อนขึ้นด้านบน

 

วิกฤตทั้งหลายในโลกเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นภาวะ “โลกรวน” (CLAIMATE CHANGE) และวายร้ายไวรัสนี้ล้วนน่าจะเป็นผลจากเส้นทางโคจรที่กำลังผันเคลื่อนลงต่ำของเส้นทางโคจรของระบบสุริยะนี้เองกระมัง

และว่า วาระโคจรนี้ใช้เวลาเป็นล้านๆ ปี ดังนั้น นับแต่นี้ไป เจ้ามนุษย์ก็จงตั้งสติมั่นเตรียมเผชิญกับมหันตภัยร้ายกาจคาดไม่ถึงไว้ให้จงดี

จงตระหนักไว้ด้วยว่า

ภัยเงียบจากโรคนั้นกึกก้องกว่าภัยสงครามกัมปนาทอันเกิดจาก

น้ำมือมนุษย์มากนัก