ฝ่ายค้าน-รัฐบาลแตกคอ ‘แก้ รธน.’ ‘พปชร.’ วางเกมเซียนกินรวบ/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ฝ่ายค้าน-รัฐบาลแตกคอ ‘แก้ รธน.’

‘พปชร.’ วางเกมเซียนกินรวบ

 

สถานการณ์ร้อนทางการเมืองช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของการ ‘แก้รัฐธรรมนูญ’

เพราะพรรคพี่ใหญ่ฟากรัฐบาล ‘พลังประชารัฐ’ ยื่นเสนอให้รัฐสภาพิจารณร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นวาระพิเศษในวันที่ 22 มิถุนายนนี้

แน่นอนว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของนายไพบูลย์นี้ยังคงอิงกับร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ‘ไม่เป็นประชาธิปไตย’ เพราะมาจากการร่างรัฐธรรมนูญโดยคนของ คสช. หลังจากการยึดอำนาจ

และแน่นอนว่า ‘ฝ่ายค้าน’ ต้องค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของนายไพบูลย์นี้อย่างแน่นอน

ความเขี้ยวในเกมการเมืองของ ‘ไพบูลย์’ และ พปชร.จึงฉายออกมาให้เห็น

 

โดยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของนายไพบูลย์ฉบับนี้เลือกเสนอแก้ ‘สูตรเลือกตั้ง’ ให้กลับมาใช้การเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ แบบปี 2540 คือ ให้เลือก ส.ส. 400 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน

สูตรนี้ พปชร.ไม่มีเสีย ในฐานะที่เป็นพรรคใหญ่ และครองพื้นที่เขตพอสมควร

การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้เพราะตั้งใจจะหลีกหนีกับดักจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่วางสกัดพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคใหญ่ในขณะนั้น ไม่ให้ได้บัญชีรายชื่อ

แต่พอวันนี้ พปชร.ก้าวขึ้นมาเป็นพรรคพี่ใหญ่ หากเดินตามรัฐธรรมนูญ 2560 ต่อไป ก็ติดกับดักที่เพื่อไทยเคยโดน

ดังนั้น เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่เสีย และมองลึกลงไปว่า หากเสนอสูตรนี้ ‘ฝ่ายค้าน’ จะแตกกันเอง ด้วย ‘เพื่อไทย’ ก็รู้สึกโอเคกับสูตรการเลือกตั้งดังกล่าว

แต่พรรคที่เกิดจากการคำนวณที่นั่ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ร่วมฝ่ายค้านอยู่คงไม่โอเคกับการเลือกตั้งด้วยสูตรนี้เท่าใดนัก

เป็นไปอย่างคาด ‘ฝ่ายค้าน’ เห็นต่างกันเรื่องสูตรเลือกตั้งตั้งแต่เห็นหน้าตาร่างของนายไพบูลย์ เพราะแม้การเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ จะเป็นกติกาที่ยอมรับได้ และควรจะเป็น แต่มีคนที่ได้ และมีคนที่เสียจากกติกานี้ โดย ‘พรรคเพื่อไทย’ ในฐานะพรรคใหญ่ที่เคยโดนกติกาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 สกัด สงวนท่าทีเรื่องบัตร 2 ใบนี้ เพราะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ผลการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2540 การันตีชัยชนะของ ‘เพื่อไทย’ ภายใต้สูตรบัตร 2 ใบอย่างชัดเจน

ขณะที่ ‘พรรคก้าวไกล’ อยากได้สูตรระบบจัดสรรปันส่วนผสม โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขต และเลือกพรรคการเมืองอีก โดยนำคะแนนที่เลือกพรรคการเมืองมาใช้คำนวณจำนวน ส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค เพื่อให้เสียงของประชาชนไม่ตกน้ำ

แน่นอนว่าการคำนวณที่นั่ง ส.ส.ด้วยสูตรนี้ ‘ก้าวไกล’ จะได้ประโยชน์มากที่สุด ส่วนพรรคเล็กอื่นๆ ในฟากฝ่ายค้าน ‘ประชาชาติ’ เอาด้วยกับบัตร 2 ใบ ‘เพื่อชาติ’ และ ‘พลังปวงชนไทย’ แม้จะอยากได้บัตรเลือกตั้งใบเดียว แต่ก็ยอมรับในหลักการที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย

เมื่อที่ประชุมเห็นไม่ตรงกัน และความเห็นที่แตกต่างคือความสวยงามตามระบอบประชาธิปไตย ‘ก้าวไกล’ เสนอให้แถลงชูประเด็นไปที่เรื่องการแก้ไขมาตรา 272 ก่อน ประเด็นอื่นอาจจะยังไม่จำเป็นต้องมีข้อสรุปในเร็วๆ นี้

แต่ทาง ‘เพื่อไทย’ ให้เหตุผลว่า เมื่อเห็นไม่ตรงกัน สิ่งที่เห็นตรงกันก็แถลงว่าจะร่วมกันผลักดัน แต่สิ่งที่เห็นไม่ตรงกันแล้วพรรคเพื่อไทยจะเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ ‘เพื่อไทย’ จะขอชี้แจงด้วยเช่นเดียวกัน

 

แม้ต่างฝ่ายจะบอกว่าเรื่องจบลงด้วยการพูดคุยกันอย่างเข้าใจ แต่ภาพที่ออกมาหลังออกมาจากห้องประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านกลับไม่เป็นเช่นนั้น มีการแจ้งแถลงข่าว และโพสต์สเตตัสลงบนสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อโต้ตอบกันไป-มาไม่หยุดระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย

จน ‘สุทิน คลังแสง’ ประธานวิปฝ่ายค้าน ต้องออกมาพูดดังๆ กลางงานเสวนาว่า

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ คือการชิงจังหวะและโอกาสของนักการเมืองและประชาชน เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ ถือเป็นเกมที่ต้องชิงไหวชิงพริบ สับขาหลอกกันมาตลอด คนแก้ไม่ว่าจะในสภา หรือประชาชนนอกสภา ต้องศึกษาเกมนี้ดีๆ ใครที่ไม่ทันจะเสียเปรียบ วันนี้พรรค พท.กำลังจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว กำลังจะเริ่มต้นใหม่ มีเกมที่เต็มไปด้วยการสับขาหลอก จึงขอเรียกร้องพรรคร่วมฝ่ายค้านต้องทันเกม เพราะเมื่อย้อนไปดูสองเดือนที่แล้วที่ร่างของฝ่ายค้านตก”

“ต้องมีบทเรียนว่า พปชร.ชิงยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญเองก่อนเลย ทั้งๆ เราอยากแก้มากกว่าด้วยซ้ำ และใครที่กล่าวหาว่าพรรค พท.แก้ระบบเลือกตั้งเหมือนพรรค พปชร.นั้น ขอขีดเส้นใต้สามเส้นเลยว่า เรื่องบัตรเลือกตั้งสองใบนั้น เราตกผลึกมานานแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนแปลง”

“พรรค พปชร.ต่างหากที่มาเสนอเหมือนฉกเอาของพรรค พท.ไปยื่นก่อน ถามว่าทำไมต้องทิ้งของดีของเรา ต้องขอความเป็นธรรมด้วย นอกจากนี้ ต้องหันมาดูว่าทำไมพรรค พปชร.ชิงยื่นร่างก่อน เพราะเมื่อพรรค พปชร.เปิดเรื่องบัตรสองใบขึ้นมา พรรคร่วมรัฐบาลทะเลาะกันเลย ฝ่ายค้านก็ทะเลาะกัน ต้องชมว่าคนยื่นเซียนมาก”

“แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการสับขาหลอก สุดท้ายพรรค พปชร.จะเอาบัตรเลือกตั้งใบเดียว ไม่เอาเรื่องบัตรสองใบหรอก แค่สะกิดให้ ส.ว.ตีตกก็จบ”

 

ท้ายที่สุด ‘เพื่อไทย’ จึงตัดสินใจนำทีมเดินหน้ายื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 5 ร่าง ประกอบด้วย

1. แก้เพิ่มเติมมาตรา 256 ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ

2. ร่างเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพต่างๆ เช่น สิทธิในการร้อง, สิทธิการตรวจสอบถ่วงดุล ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการ

3. ร่างเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง

4. ร่างเกี่ยวกับที่มาของนายกรัฐมนตรี และมาตรา 272 ตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในการเลือกนายกรัฐมนตรี

และ 5. ยกเลิกมาตรา 279 เกี่ยวกับคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) โดยร่างที่ทุกพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ร่วมกันลงชื่อโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมดคือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272

ส่วนอีก 4 ร่างที่เหลือ ทุกพรรคฝ่ายค้านลงชื่อร่วมกันยื่นเสนอ มีเพียงพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อ

 

วันนี้ฝ่ายการเมืองหลายคนมองเห็นตรงกันว่า การแก้รัฐธรรมนูญนั้น สุดท้ายปลายทางแล้ว รัฐบาลจะเอาแบบไหนก็ย่อมได้แบบนั้น ต่อให้พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นตรงกันทั้งหมดทุกเรื่อง ยกมือพร้อมเพรียงกันในทุกมาตรา ผลของการลงมติที่ออกมาก็แพ้เสียงฟากรัฐบาลอยู่วันยังค่ำ เหตุด้วย ส.ว.คงไม่ยกมือเพื่อปิดสวิตซ์อำนาจของตัวเองเป็นแน่ ยิ่งเป็นแบบนี้ ฝ่ายค้านก็ยิ่งต้องผนึกกำลังกัน

เมื่อความจริง ความเป็นประชาธิปไตยคือการไว้วางใจ และเชื่อใจประชาชน ดังนั้น ในเมื่อทุกฝ่ายต่างบอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็ควรเร่งสร้างกติกาที่ชอบด้วยระบอบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นเสียก่อน และไม่ว่ากติกาดังกล่าวจะออกมาหน้าตาแบบใด หรือสูตรใดก็ตาม ประชาชนพร้อมที่จะเดินเข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อสะท้อนความต้องการอย่างแรงกล้าของเขา เพราะสุดท้ายแล้วผู้ตัดสินก็คือประชาชน

สิ่งที่พรรคการเมืองทำได้คือการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน แล้วเชื่อใจ และเชื่อมั่นว่าเขาจะเลือกสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเอง พรรคการเมืองต้องเชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว เสียง ‘ส่วนใหญ่’ ของประเทศ จะสะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชนออกมาได้

ถ้าคิดแบบนี้พรรคการเมืองจะไม่มานั่งตีกันด้วยเรื่องกติกาการเลือกตั้งที่จะทำให้ฝ่ายตนเองได้ประโยชน์สูงสุด แต่จะมุ่งช่วยกันทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจากกติกาที่ผ่านสภาออกมานั้น เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรมมากที่สุด

เพื่อให้การเลือกตั้งสามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแจ่มชัด