จับชั้นเชิง ‘พยัคฆ์ป้อม’ รุกยึด พปชร. จับอาการ ‘พี่ป้อม-น้องตู่’ ‘พี่ตู่-น้องแดง’ ในเกมการเมือง กับโผทหาร ฉบับบูรพาพยัคฆ์คอแดง/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

จับชั้นเชิง ‘พยัคฆ์ป้อม’

รุกยึด พปชร.

จับอาการ ‘พี่ป้อม-น้องตู่’

‘พี่ตู่-น้องแดง’ ในเกมการเมือง

กับโผทหาร ฉบับบูรพาพยัคฆ์คอแดง

 

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะประกาศในสภา กลางวง 250 ส.ว. ว่าจะอยู่มันไปจบครบ จะได้เลิกพูดกันสักที วันหน้าเลือกตั้ง ก็ให้เลือกให้ดีๆ ก็แล้วกัน เพื่อสยบกระแสข่าวการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ในปีหน้า

แต่ทว่า ก็เป็นการพูดแบบตัดรำคาญ เพราะหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์สั่ง ครม.ให้เร่งทำงานให้สำเร็จในเวลา 1 ปีที่เหลืออยู่ของรัฐบาล ก็ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะมีการยุบสภา และเลือกตั้งในปี 2565 ที่ส่งผลให้การเมืองกระเพื่อม

และแม้บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้จะยืนยันว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอม 4 ปีก็ตาม แต่กลับส่งสัญญาณให้แกนนำพรรคเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า

ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค ให้มี 25 คน และมีรองหัวหน้าแค่ 4 คน จากที่เคยมีมากถึง 10 คน ที่ให้ อ.แหม่ม นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ลูกเลิฟสายบุ๋น ร่างแผนเตรียมเปลี่ยนเลขาฯ พรรค แบบที่นายอนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร และเลขาฯ พรรค ยืนยันว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยน เพราะไม่มีในวาระประชุม

ตามแผนของ พล.อ.ประวิตรจะให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลูกรักสายบู๊ ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค เพื่อเดินหน้าเตรียมพร้อมสำหรับทุกการเลือกตั้ง ทั้งเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. ส.ข. และเลือกตั้งซ่อม รวมทั้งการเตรียมดูด ส.ส.จากพรรคอื่นมาเตรียมไว้ก่อนช่วงยุบสภา

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะสยบกระแสยุบสภา ด้วยการยืนยันจะอยู่จนครบเทอม และสั่ง ครม.ให้มุ่งมั่นทำงานเต็มที่ก็ตาม แต่นักการเมืองรู้ดีว่า รัฐบาลนี้ไม่อาจอยู่จนครบเทอม

พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 11 มิถุนายน 2562 เท่ากับรัฐบาลอยู่มา 2 ปีเต็ม ย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แต่ปีที่ 2 และ 3 ของรัฐบาลก็หมดไปกับการแก้ปัญหาโควิด ถ้าจะอยู่ครบเทอม จะครบในเดือนมิถุนายน 2566

สมาชิกวุฒิสภา 250 คนที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งไว้ตอนเป็นหัวหน้า คสช. ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อ 14 พฤษภาคม 2562 เท่ากับว่า ยังมีอำนาจในการโหวตนายกรัฐมนตรีจนถึง 14 พฤษภาคม 2567 จึงสามารถช่วย พล.อ.ประยุทธ์ให้กลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกสมัย

แต่แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศว่า จะอยู่ไปจนครบเทอมก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ มีแนวโน้มว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องยุบสภาก่อนรัฐบาลครบเทอม

เพราะประการแรก หากยืดเวลาให้นานที่สุด จนปี 2566 ที่ตอนนั้นต้องทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ผ่านสภาเลย รัฐบาลจะยุบสภาในช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน 2566 ก่อนไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นรัฐบาลรักษาการ และไม่มีสภามาพิจารณางบฯ

การที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเลือกจังหวะเวลาในการยุบสภา จะต้องคำนวณวันเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล กว่าที่จะเริ่มทำหน้าที่ได้ จะมีผลต่อ พ.ร.บ.งบประมาณในแต่ละปีอย่างไร

ประการที่ 2 หากอยู่จนครบเทอม หรือใกล้ครบเทอมในปี 2566 ซึ่งเป็นปีสำคัญของกองทัพ เพราะจะมีการเปลี่ยนตัวทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.

เนื่องจากบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด และบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. จะเกษียณ 30 กันยายน 2566

หาก พล.อ.ประยุทธ์อยู่ครบเทอม และช่วงรอเลือกตั้ง รอตั้งรัฐบาล ก็จะไม่มีอำนาจเต็มในการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร และถือเป็นการโยกย้ายครั้งสำคัญ เนื่องจากการเลือก ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.ในยุคนี้ ต้องมีปัจจัยเพิ่มเติม ถ้านายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมไม่แข็งพอ ก็อาจคุมกองทัพไม่อยู่

เพราะรู้กันดีว่า ทั้ง พล.อ.เฉลิมพล และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็เป็นนายทหารคอแดง จนทำให้เกิดธรรมเนียมในกองทัพแล้วว่า คนที่จะมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด และโดยเฉพาะ ผบ.ทบ. จะต้องเป็นนายทหารคอแดง ที่ผ่านการฝึกหลักสูตรของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ทม.รอ.904) และขึ้นกับ ฉก.ทม.รอ.904 ที่มี ผบ.ทบ. เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904

การชิงเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ. ในหมู่นายทหารคอแดง จะเข้มข้นมากขึ้นตั้งแต่โยกย้ายสิงหาคม-กันยายน 2564 ปีนี้แล้ว เพราะจะชี้ชัดว่า ใครจะเป็น ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.ในอนาคต

พล.ท.เจริญชัย ,พล.ท.ทรงวิทย์

ดังนั้น ถึงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่รีบยุบสภาปลายปี 2564 นี้ เพราะต้องร่วมจัดโผทหาร จัดวางคนในกองทัพก่อน

หากให้ความสำคัญกับกองทัพ พล.อ.ประยุทธ์อาจจะต้องอยู่จัดโผทหารโยกย้ายสิงหาคม-กันยายน ปี 2565 เสียก่อน จากนั้นจึงยุบสภาเพื่อเลือกตั้งในปี 2565 แล้วรีบกลับมาเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาล จัดโผย้ายทหารสิงหาคม-กันยายน 2566 ที่เป็นโผสำคัญ ที่ต้องเลือก ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.ใหม่นั่นเอง

ดังนั้น หากมองเรื่องโผทหาร พล.อ.ประยุทธ์ไม่อาจอยู่ครบเทอมในมิถุนายน 2566 ได้

เป้าหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ คือจะต้องสนับสนุนบิ๊กต่อ พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ให้สำเร็จ เพราะถือเป็นนายทหารคอแดงไม่กี่คนที่เป็นน้องรักใกล้ชิด เพราะ พล.ท.เจริญชัยเป็นนายทหารเสือราชินี ที่อยู่ ร.21 รอ. และ พล.ร.2 รอ.มาด้วยกัน

แต่ทว่า ในโผโยกย้ายปี 2564 นี้ พล.ท.เจริญชัยจะขยับขึ้นพลเอก เป็น ผช.ผบ.ทบ. นั่งห้าเสือ ทบ.ตามไลน์ เพื่อเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ที่จะเกษียณกันยายน 2566

โผนี้จะชัดเจนว่า พล.ท.เจริญชัยจะเป็นเต็งหนึ่งเดียว ผบ.ทบ.ในอนาคต หากบิ๊กอ๊อบ พล.ท.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองเสธ.ทบ. ไม่ได้ย้ายระนาบกลับไลน์อำนาจ ข้ามมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แต่หาก พล.ท.ทรงวิทย์ได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในโผนี้ ก็มีลุ้นในโผ 2565 ว่าจะขึ้น 5 เสือ ทบ. ไปรอชิง ผบ.ทบ.กับ พล.ท.เจริญชัยหรือไม่ หรือเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.ท.เจริญชัย ที่เกษียณกันยายน 2567 ส่วน พล.ท.ทรงวิทย์เกษียณกันยายน 2568

พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์

แต่หากโผกันยายน 2564 นี้ พล.ท.ทรงวิทย์ถูกขยับข้ามไป บก.กองทัพไทย ไปเป็นรองเสธ.ทหาร ก็ต้องไปชิง ผบ.ทหารสูงสุด กับบิ๊กบุ๋ม พล.ท.สุวิทย์ เกตุศรี ผบ.ศูนย์ต่อต้านก่อการร้าย น้องรักทหารม้าคอแดง ที่ พล.อ.เฉลิมพลดึงตัวจาก ทบ.ไปอยู่ บก.ทัพไทย เพื่อหวังให้เป็น ผบ.ทหารสูงสุดต่อ

เมื่อนั้น ก็จะเป็นศึกทหารคอแดงใน บก.กองทัพไทยอีกคู่ ระหว่างทหารม้ากับทหารราบ เพราะทั้ง พล.ท.สุวิทย์ และ พล.ท.ทรงวิทย์ เกษียณกันยายน 2568 พร้อมกัน

ขณะที่แม่ทัพภาคที่ 1 ในโผนี้ก็เข้มข้น ระหว่างบูรพาพยัคฆ์คอแดงด้วยกัน ทั้งบิ๊กโต พล.ท.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง (ตท.23) แม่ทัพน้อยที่ 1 กับรองหนุ่ย พล.ต.ธราพงษ์ มาละคำ (ตท.24) รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่หากประนีประนอม ก็อาจต่อคิวได้ เพราะ พล.ต.ธราพงษ์เป็นรุ่นน้อง และมีอายุราชการถึง 2569

อาจเรียกได้ว่า เป็นศึกบูรพาพยัคฆ์ สายเลือด จปร.คอแดงก็ว่าได้ แต่ทว่า นายทหารที่จะนั่งแม่ทัพภาคที่ 1 ในยุคสมัยนี้ ไม่ใช่ให้นายกฯ หรือ รมว.กลาโหมเลือก แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ทั้งในฐานะ ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 จะเป็นผู้เลือก ประกอบกับรับสัญญาณสำคัญบางประการด้วย

จึงทำให้ทหารในกองทัพไม่ใช่แค่ ทบ. จับตามองว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ซึ่งสนิทสนมใกล้ชิด และเชื่อมือ เชื่อใจ พล.ท.ทรงวิทย์ จะดัน พล.ท.ทรงวิทย์ข้ามจาก บก.ทบ. มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 หรือไม่ แม้ว่า พล.ท.ทรงวิทย์จะไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อย จปร. แต่จบโรงเรียนนายร้อย VMI สหรัฐอเมริกาก็ตาม

เพราะ พล.ท.ทรงวิทย์ก็เคยเป็นผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม และเป็น ผบ.พล.1 รอ.มาแล้ว ก็อาจจะเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนแรกที่ไม่ได้จบ จปร.ก็เป็นได้ หรืออีกทางหนึ่ง คือติดม่านประเพณี จปร. จนไม่อาจเป็นทั้งแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.ได้

แต่ทว่า ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ในโผนี้ จึงเป็นทั้งการชิงกันเองของสายบูรพาพยัคฆ์ ของพี่น้อง 3 ป. และกับสายวงศ์เทวัญอย่าง พล.ท.ทรงวิทย์

การโยกย้ายทหาร จากนี้ไปทุกโผทุกครั้ง จะสำคัญต่อ พล.อ.ประยุทธ์ และแผงอำนาจ 3 ป.อย่างมาก เพราะระยะห่างกับน้องๆ ผบ.เหล่าทัพ และแม่ทัพนายกอง เริ่มมากขึ้น จากรุ่นเตรียมทหาร รุ่น จปร.ที่ห่างกัน เพราะพี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” อยู่มานานเสียเหลือเกิน

เมื่อธรรมเนียมกองทัพปรับเปลี่ยนมาสู่ยุคทหารคอแดง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องพยายามดันนายทหารคอแดงในสายทหารเสือฯ และบูรพาพยัคฆ์ ที่ยังพอใกล้ชิดสนิทสนม ให้ลงสู่ตำแหน่งได้บ้าง ก่อนที่กองทัพจะหลุดมือจากรัฐบาล หรือฝ่ายการเมือง

และเพื่อสร้างความมั่นใจว่ากองทัพในอนาคต น้องๆ ในกองทัพจะไม่วัดรอยเท้า “พี่ตู่” ในการรัฐประหาร ล้มล้างรัฐบาล หาก ผบ.ทบ. และ ผบ.เหล่าทัพ แม่ทัพนายกองเป็นนายทหารสายทหารเสือฯ และบูรพาพยัคฆ์มาด้วยกัน

แต่ในบางตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้มีอำนาจเต็มคนเดียวในการตัดสินใจ แต่ทว่าเป็น ผบ.ทบ.คอแดง

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังมั่นใจได้ว่า ยังมีบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองราชเลขาธิการฯ น้องรัก ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้

เพราะถึงอย่างไร พล.อ.อภิรัชต์ก็ไม่มีวันวัดรอยเท้าพี่ตู่ เพราะรู้กันดีว่า ชีวิตราชการทหารที่ผ่านมา ตั้งแต่ได้เป็น ผบ.พล.1 รอ. รองแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผช.ผบ.ทบ. นั้น บิ๊กแดงมีวันนี้เพราะพี่ตู่ให้การสนับสนุน ผลักดัน

หากแต่ตอนขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คอแดง คนแรกนั้น แม้อาจจะไม่ใช่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนหลัก จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้ พี่ตู่กับน้องแดงยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงโทร.คุย ไลน์คุย และกินข้าวด้วยกัน อย่างน้อยเดือนละครั้ง

ระหว่างพี่ตู่กับน้องแดงนั้น ไม่มีปัญหา เพราะแม้มีบางพรรคการเมืองมาทาบทามให้ พล.อ.อภิรัชต์ไปเป็นหัวหน้าพรรค เจ้าตัวก็ปฏิเสธ เพราะไม่คิดเล่นการเมือง อีกทั้งมาอยู่ตรงนี้แล้ว

ที่สำคัญคือ ไม่เคยคิดจะมาเป็นคู่แข่งกับพี่ตู่

แต่ทว่า ตอนนี้ระหว่างน้องตู่กับพี่ป้อมต่างหากที่อาจไม่ค่อยเหมือนเดิม

แม้ที่ผ่านมา แม้จะมีเรื่องระหองระแหง งอนกันบ้าง อะไรกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นขัดแย้ง จน พล.อ.ประวิตรเคยยอมรับว่า เรื่องความเห็นไม่ตรงกัน ย่อมมีเป็นเริ่องธรรมดา แต่ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์คือผู้นำ คือผู้รับผิดชอบประเทศ ก็ต้องให้เป็นคนตัดสินใจ หรือยอมตามที่ พล.อ.ประยุทธ์เห็นว่าดีแล้ว

แต่ตั้งแต่เกิดโควิดระลอก 3 นี้ มีข่าวสะพัดออกมาจากบ้านป่ารอยต่อฯ ระยะหลังมีนักการเมืองเข้าไปพบปะพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตรมากกว่าทหารเสียอีก ว่า พล.อ.ประวิตรมักจะบ่นๆ กับแนวทางหลายอย่างของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะอยากให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่เอ่ยปาก เพราะไม่อยากก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของน้อง และตนเองไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับ ศบค. จนพี่ใหญ่ต้องบ่นอยู่เนืองๆ เมื่อเห็นยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อวันละ 2-3 พันคน เสียชีวิตอีกวันละ 30-40 คน ก็ได้แต่เสียใจ

บ่อยครั้งที่คำพูดหรือการตัดสินใจหลายๆ อย่างของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ตรงใจ พล.อ.ประวิตร แต่ก็ไม่ก้าวก่าย เพราะแบ่งอำนาจหน้าที่กันแล้วว่า เรื่องการบริหารประเทศ ให้เป็นของน้องตู่ ส่วนเรื่องในพรรคพลังประชารัฐ เรื่องการเมือง ให้เป็นเรื่องของพี่ใหญ่

จนบางครั้งมีคนหวนคิดถึงเมื่อ 7 ปีที่แล้วว่า ถ้าวันนั้น วันที่ พล.อ.ประยุทธ์นำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แล้วให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ เพราะเป็นพี่ใหญ่ และเพราะเกรงใจ แต่ พล.อ.ประวิตรปฏิเสธ เพราะความที่สุขภาพไม่แข็งแรง และขาไม่ดี เดินกะเผลกๆ เดินไม่สมาร์ต จะไปเป็นนายกฯ ได้อย่างไร

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำรัฐประหาร ผู้รับผิดชอบ ก็ควรเป็นนายกฯ เอง พล.อ.ประวิตรจึงสัญญาจะอยู่ช่วย ไม่ไปไหน ตราบใดที่น้องตู่ยังคงอยู่ในการเมือง เมื่อนั้น พี่ป้อม พี่ป๊อกก็จะไม่ไปไหน จะคอยช่วยจนกว่าจะได้สัญญาณให้กลับบ้าน พักผ่อนด้วยกัน

จนวันนี้ 7 ปีมาแล้ว ที่พี่น้อง 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ อยู่ในอำนาจ ยึดอำนาจรัฐมา ไม่นับรวมระยะเวลาตั้งแต่ช่วยกันจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเรื่อยมา

จนกลายเป็นที่รับรู้กันในหมู่นายทหารใกล้ชิด และนักการเมือง พปชร. ที่เข้าไปประชุมพบปะ กินข้าวกับ พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ บ่อยๆ เพราะจะได้ยินเสียงบ่นของพี่ใหญ่ถึงน้องเล็กเสมอๆ

แต่ทว่า ก็ไม่ได้เป็นความขัดแย้งถึงขั้นแตกร้าว แตกหัก แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่พี่ใหญ่ที่แก่กว่า และสุขุมรอบคอบ ประสบการณ์มากกว่า จะคิดต่าง

แม่ทัพภาค1 พลโท เจริญชัย กับ รองแม่ทัพ1

แม้จะบอกว่า รัฐบาลจะอยู่จนครบเทอม แต่ทว่า ก็มีการส่งสัญญาณให้ ผบ.เหล่าทัพ เร่งจัดโผโยกย้ายทหารครั้งนี้เร็วขึ้น ให้เสร็จในกลางกรกฎาคมนี้ และผ่านขั้นตอนต่างๆ ให้เรียบร้อยภายในสิงหาคม

พร้อมกำชับให้การจัดทำโผทหารครั้งนี้ ปกปิดความลับให้มากที่สุด เพราะมีการเปลี่ยนตัวทั้งปลัดกลาโหม ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ.คนใหม่ ที่จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในกองทัพไม่น้อย

เพราะทางกลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม ที่จะเกษียณ ต้องการส่งบิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย รองปลัดกลาโหม เพื่อน ตท.20 กลับ ทร. ไปเป็น ผบ.ทร. เพราะหากอยู่กลาโหม จะเป็นรองปลัดกลาโหมที่อาวุโสสูงสุด มีความชอบธรรมที่จะเป็นปลัดกลาโหมได้

แต่ทว่า ตำแหน่งปลัดกลาโหมมักจะเป็นโควต้าเหล่าทหารบก จึงจะส่ง พล.ร.อ.สมประสงค์กลับไปเป็น ผบ.ทร. หลังจากที่เคยถูกย้ายออกมาในยุคบิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เป็น ผบ.ทร.

แต่ทว่า ใน ทร.ก็มีแคนดิเดตถึง 3 คนอยู่แล้ว ทั้งเสธ.โต้ง พล.ร.อ.ธีรกุล กาญจนะ (ตท.21) เสนาธิการทหารเรือ บิ๊กโต๊ะ พล.ร.อ.ทรงวุฒิ บุญอินทร์ (ตท.22) ผช.ผบ.ทร. และบิ๊กปู พล.ร.อ.สุทธินันท์ สมานรักษ์ (ตท.22) ผบ.กองเรือยุทธการ

ที่ก็มีพลังรุ่น ตท.22 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ช่วยสนับสนุน

แต่คนใน ทร. และที่กลาโหม ต่างก็เชื่อว่า บิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผบ.ทร. จะเลือก พล.ร.อ.สมประสงค์ ที่ถือว่าเป็นเพื่อนสนิท ตท.20 มากกว่าเลือกรุ่นน้อง

ทว่า คงต้องมีหลายปัจจัยประกอบในการตัดสินใจมากกว่า รุ่นเพื่อน รุ่นน้อง แต่ต้องดูที่เนื้องาน และความเหมาะสมด้วย

ขณะที่กลาโหมกำลังพยายามส่ง พล.ร.อ.สมประสงค์กลับมาชิง ผบ.ทร.ก็ตาม แต่ที่กลาโหมเองก็ต้องเจอเอาต์ไซเดอร์ คนนอกกลาโหมข้ามมาเสียบปลัดกลาโหม

แต่คนนอกไม่ได้มีแค่บิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ เสธ.ทบ. เพื่อน ตท.20 ของ พล.อ.ณัฐเท่านั้น แต่มีข่าวสะพัดว่า พล.อ.เฉลิมพลจะส่งบิ๊กไก่ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เสนาธิการทหาร ข้ามจาก บก.ทัพไทย มาชิงเก้าอี้ด้วย เพราะครองอัตราพลเอกพิเศษ อาวุโสกว่า แถมเป็นทหารม้าเช่น พล.อ.เฉลิมพล และเป็น ตท.22 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ด้วย

แต่ในกลาโหม แทงม้า ทบ. เชื่อว่า พล.อ.วรเกียรติจะมาเป็นปลัดกลาโหม เพราะ พล.อ.ณัฐ น้องรักบิ๊กป้อม ยังคงเป็นกำลังหนุนหลัก และจะเจรจากับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรได้

แม้ พล.อ.ประยุทธ์เป็น รมว.กลาโหม แต่ก็ต้องยอมรับว่า กลาโหมยังเป็นกระทรวงที่ พล.อ.ประวิตรยังมีบารมีอยู่ ตราบใดที่ยังมีบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล เป็น รมช.กลาโหม และมี พล.อ.ณัฐเป็นปลัดกลาโหม

หรือเมื่อ พล.อ.ณัฐไม่อยู่ ก็ต้องมีคนที่ไว้วางใจดูแลกลาโหมต่อนั่นเอง

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องอยู่จัดโผทหารโผนี้ก่อนด้วย ยังไม่ต้องรีบยุบสภาในปลายปีนี้ ปีหน้า 2565 ค่อยว่ากัน

เพราะถึงอย่างไร สมัยหน้า พล.อ.ประยุทธ์ก็หวังว่าจะต้องกลับมาจัดโผทหารครั้งสำคัญ ตอนเลือก ผบ.ทบ.คนใหม่ในกันยายน 2566 โน้น