งบฯ สร้างกำแพงชายแดนใต้-มาเลเซีย เพื่อความมั่นคง?/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

[email protected]

 

งบฯ สร้างกำแพงชายแดนใต้-มาเลเซีย

เพื่อความมั่นคง?

 

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

1 มิถุนายน 2564 นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส (ทนายแวยูแฮ) จากพรรคประชาชาติ อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการจัดงบประมาณ แผนบูรณาการขับเคลื่อนแก้ปัญหาสามจังหวัด 7 พันกว่าล้าน ซึ่งไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะงบประมาณผูกพัน 3 ปี 600 กว่าล้านสร้างรั้วกำแพงชายแดนใต้และมาเลเซีย ปิดกั้นคนชายแดนชาติพันธุ์มลายู สะท้อนรัฐบาลไม่เข้าใจวิถีชีวิตคน 3 จังหวัด ชี้ยังมีอคติต่อคนจังหวัดชายแดนภาคใต้ และทิ้งท้ายว่า หวังจะมีการปรับแก้ไขตามวาระ 2 และ 3 ต่อไป

(อ้างอิงจากติดตามฟังลิงก์จากเพจ ส.ส.กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ https://www.facebook.com/watch/?v=940587866788312)

จากการอภิปรายครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านเพิ่งรู้ และหลายท่านเลยเถิดนึกถึงนโยบายการสร้างกำแพงของอดีตประธานาธิบดีอเมริกา “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งไม่เป็นผลดีมากนักในพื้นที่ความขัดแย้งไฟใต้ “กว่า 17 ปี” ซึ่งต้องละเอียดอ่อน รอบคอบและรอบด้านในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะการลงพื้นที่ฟังเสียงชาวบ้านในมิติอื่นๆ ด้วย

แต่ กอ.รมน.อ้าง “เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ รวมถึงควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการลักลอบข้ามแดน”

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีการอนุมัติงบฯ โครงการมูลค่ากว่า 600 ล้านบาทที่มิอาจมองข้าม

โครงการที่ว่านี้คือ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดระเบียบชายแดน กิจกรรมการเสริมสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ระยะเร่งด่วน แนวเขตชายแดนพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ที่เสนอโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า งบประมาณเบื้องต้น 642,813,287.13 บาท

โดยอ้างอิงถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2560

โครงการนี้ถูกเสนอผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นมาตามลำดับ กระทั่งในการประชุมร่วมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ใช้เวลาถึง 3 ปี กระทั่งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2563 กอ.รมน.ได้รับความเห็นชอบให้ขอรับการสนับสนุน “งบฯ กลาง” ประจำปีงบประมาณ 2564 เป็นกรณีเร่งด่วน ในการดำเนินโครงการ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ รวมถึงควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการลักลอบข้ามแดน

พร้อมชงเข้าที่ประชุม คปต.ที่มีรองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน และผ่านฉลุยไปตามระเบียบ

รายละเอียดของโครงการ สร้างรั้วชายแดนรูปแบบต่างๆ ตามที่ กอ.รมน.เสนอ ดังนี้

1. ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก บริเวณเขต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ระยะทาง 7.528 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 467,023,729.84 บาท

2. ก่อสร้างรั้วตาข่ายเหล็กชายแดนสูง 2 เมตร ระยะทาง 15 กิโลเมตร วงเงิน 114,687,66.27 บาท

3. ก่อสร้างรั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางชายแดน ระยะทาง 6 กิโลเมตร วงเงิน 52,750,400 บาท บริเวณชุมชนบ้านตาบา ต.เจ๊ะเห ต.เกาะสะท้อน ต.โฆษิต และ ต.นานาค

4. สร้างฐานปฏิบัติการชุดเฝ้าตรวจชายแดนไทย-มาเลเซีย จำนวน 3 ฐาน ในพื้นที่บ้านตะเหลียง ต.เกาะสะท้อน บ้านศรีพงัน ต.เกาะสะท้อน และบ้านตาเซะ ต.นานาค อ.ตากใบ วงเงิน 6,051,511.02 บาท

5. การอำนวยการและการสร้างความเข้าใจ วงเงิน 2,300,000 บาท

ทั้งนี้ กอ.รมน.มีแผนงานก่อสร้างระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึงกันยายน 2567 สำหรับแผนงานที่เสนองบประมาณเพื่อจัดการโควิด-19 ระลอกใหม่ มีการเตรียมเสนอของบประมาณรายจ่ายบูรณาการในปี 2565 ด้วย

อีกด้านหนึ่ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือถึงสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อสนับสนุนโครงการรั้วชายแดน โดยระบุว่า กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า โครงการนี้มีส่วนในการสนับสนุนภารกิจการป้องกันชายแดนตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง และอาจช่วยเสริมศักยภาพในการแก้ไขปัญหาการสูญเสียดินแดนจากน้ำกัดเซาะตลิ่งได้

โดยมีข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

1. ควรสร้างความเข้าใจทั้งประชาชนไทยและมาเลเซีย เนื่องจากวิถีชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโก-ลก มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงการติดต่อค้าขาย ผ่านการข้ามแดนทางแม่น้ำโก-ลก มาตั้งแต่อดีต

2. กรณีการดำเนินโครงการในที่ดินเอกชน เห็นควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 สิงหาคม 2550 เกี่ยวกับหลักการและแนวทางปฏิบัติที่ทางราชการ ขอให้ราษฎรอุทิศที่ดินให้ หรือกรณีเข้าไปดำเนินการในที่ดินของเอกชนเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกันที่สำคัญ คือให้หน่วยงานที่ได้รับอุทิศ หรือให้เข้าไปดำเนินการในที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน จัดทำหนังสือแสดงความประสงค์เกี่ยวกับการอุทิศ หรือยินยอมให้ทางราชการเข้าไปดำเนินการ หากจดทะเบียนและนิติกรรมรับโอนที่ดินหรือใช้ประโยชน์ร่วมกันกับสำนักงานที่ดินได้ ให้ดำเนินการด้วย

3. กรณีงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและรั้วชายแดน ขอให้พิจารณาเรื่องสภาพภูมิประเทศ ปฐพีกลศาสตร์ และสภาพแวดล้อม

นอกจากนี้ ในส่วนของงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ขอให้มีความพร้อมในการจัดเตรียมวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะวัสดุหินใหญ่ที่ต้องใช้จำนวนมาก รวมทั้งต้องพิจารณาเรื่องระดับน้ำของแม่น้ำโก-ลก ตามฤดูกาลต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง

4. เห็นควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 12 ตุลาคม 2542 และ 10 พฤษภาคม 2548 ที่ระบุไว้ว่า หากจะมีการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใดๆ ตามบริเวณชายแดน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบได้ประสานกับกองบัญชาการทหารสูงสุด โดยกรมแผนที่ทหาร และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการ

รวมทั้งควรแจ้งประเทศมาเลเซียรับทราบก่อนดำเนินโครงการฯ เนื่องจากงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง อาจส่งผลต่อเส้นทางเดินน้ำและผลกระทบต่อตลิ่งของประเทศมาเลเซีย

ต้องยอมรับว่าไฟใต้กว่า 17 ปี โดยเฉพาะช่วง 7 ปีหลัง การขับเคลื่อนโครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้หน่วยความมั่นคง

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่โครงการเช่นนี้จึงตอบสนองหน่วยความมั่นคงมากกว่า

คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ก็มาจากอดีตนายทหารหรือข้าราชการกระทรวงมหาดไทย (คิดแบบอำนาจอำนาจรวมศูนย์) จึงไม่แปลกที่โครงการใหญ่ๆ เอื้อประโยชน์คนใหญ่คนโตโดยอ้างประชาชนมาตลอดและขาดการตรวจสอบ

ดังที่นักวิชาการสะท้อนว่า “โครงการแก้ปัญหาและพัฒนาชายแดนใต้ต้องไม่ปล่อยให้อยู่ในมือของอดีตนายทหารในรัฐบาลที่คุมความมั่นคงมาตลอดเพียงกลุ่มเดียวและไม่ควรให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เป็นคนกุมทิศทางการแก้ปัญหาในพื้นที่เป็นหลักเพียงหน่วยงานเดียว”

อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อสองปีหลังยังดีมีการเลือกตั้ง ประชาชนได้มีตัวแทนพวกเขาได้ส่งเสียงในสภาผู้แทนราษฎร “ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล” แม้ในทางพฤตินัยยากจะทัดทาน ก็ต้องร่วมมือลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ในโครงการนี้

ผู้เขียนเห็นสัญญาณที่ดีเมื่อเห็นหมอเพชรดาว โต๊ะมีนา และคณะ จากพรรคภูมิใจไทยลงพื้นที่ตากใบ นราธิวาสทันทีเมื่อเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 เพื่อสอบถามความคิดเห็นชาวบ้านในโครงการรัฐที่สร้างรั้ว กั้นระหว่างคนสองประเทศ นอกจากนี้ ส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายท้วงติงในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2564 (ฟังคลิปย้อนหลังใน https://www.facebook.com/1290204254/posts/)

การลงพื้นที่ของหมอเพชรดาว โต๊ะมีนา หลานสาวหะยีสุหลง วีรบุรุษคนชายแดนภาคใต้ (ปาตานี) ได้ใจชาวบ้าน โดยหมอเพชรดาวได้กล่าวขณะลงพื้นที่ว่า

“ฝั่งนี้คือตากใบ นราธิวาส ฝั่งโน้นคือ Tumpat รัฐกลันตัน มาเลเซีย มาดูจุดที่มีการตั้งงบประมาณปี 2565 เพื่อสร้างรั้ว/กำแพงกั้นระหว่าง 2 ประเทศ ‘ใจเขาใจเรา’ …บรรยากาศดีมาก จุดนี้เคยเป็นตลาด เป็นจุดเศรษฐกิจ จุดที่ดึงดูดการท่องเที่ยวได้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายสิรภพ ดวงสอดศรี) ได้ร่วมลงพื้นที่เพื่อรับฟังประชาชนที่อยู่ริมชายแดนตากใบ”

หลังจากนั้น หมอเพชรดาวให้คำมั่นสัญญา (ด้วยหลักการศาสนาอิสลาม) ว่า “Insyaalah จะตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด”

ก็หวังว่า “หมอเพชรดาวและคณะจะฟังข้อมูลรอบด้านเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ เหนือความมั่นคงของรัฐ และหวังว่าจะมีการปรับแก้ไขงบประมาณ ตามวาระ 2 และ 3 ต่อไป”

ที่สำคัญ ส.ส.ในพื้นที่อื่นๆ อีก โดยเฉพาะจากพลังประชารัฐอีกสองท่าน ประชาธิปัตย์อีกสองท่านควรเอาใจใส่ด้วย เพราะวาระชายแดนภาคใต้ ส.ส.จะต้องร่วมมือกัน “ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาล” และไม่ใช่เฉพาะเรื่องรั้วกำแพงนี้อย่างเดียว