สำรวจแนวรบ สู้ศึกเลือกตั้ง พรรค 3 ป. ดัน ‘บิ๊กตู่’ คัมแบ๊ก สัญญาใจ ‘ป้อม-หนู-เน’ พลังประชารัฐ พลัง ‘ธรรมนัส’ จับตา 4 เหล่าทัพ ตท.25/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

สำรวจแนวรบ สู้ศึกเลือกตั้ง

พรรค 3 ป. ดัน ‘บิ๊กตู่’ คัมแบ๊ก

สัญญาใจ ‘ป้อม-หนู-เน’

พลังประชารัฐ พลัง ‘ธรรมนัส’

จับตา 4 เหล่าทัพ ตท.25

 

ก้าวสู่ปีที่ 3 ของรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” ย่อมหมายถึงการนับถอยหลังสู่การยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ เพราะยากที่จะอยู่ครบวาระ 4 ปีในสถานการณ์เช่นนี้

ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งให้คณะรัฐมนตรีทำงานโครงการกิจกรรมต่างๆ ที่ได้วางไว้ให้เสร็จในช่วงเวลา 1 ปีที่เหลืออยู่ของรัฐบาลปัจจุบัน ก็เสมือนเป็นการส่งสัญญาณนับถอยหลังสู่การยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แต่ต้องเลือกจังหวะที่ได้เปรียบ และสถานการณ์โควิดคลี่คลาย

เพราะหากนับอายุรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ก็ยังเหลืออีกกว่า 1 ปี แต่ทว่า เวลาของปีนี้ 2564 หมดไปกับโควิด

และต้องรอ พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 ผ่านวาระ 3 ก่อน ที่กว่าจะได้ใช้ก็ปีงบประมาณใหม่ ตุลาคม 2564 และในระหว่างนั้น ต้องมีการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นที่เหลือ โดยเฉพาะที่พัทยา และผู้ว่าฯ กทม.

รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามเป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐ คือแก้ให้กลับมาใช้บัตร 2 ใบ ที่หวังจะปิดโอกาสของพรรคก้าวไกล พรรคเล็กพรรคน้อยที่เคยได้อานิสงส์รวมคะแนน จนเคยทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เข้าสภามาเพียบ แต่จะไม่แก้ไขอำนาจ 250 ส.ว.ในการเลือกนายกฯ

การเลือกตั้งในปีหน้า ก็จะยังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม ที่ยังเอื้อต่อการกลับมาสู่อำนาจอีกครั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ และแผงอำนาจ 3 ป. เลือก พล.อ.ประยุทธ์ แถมบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รอง ที่พร้อมกลับมาช่วยงานน้องตู่อีกสมัย เพราะถึงยังไง มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน

ถ้าตราบใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงอยู่ พี่ป้อมและพี่ป๊อกก็ต้องมาช่วย

แต่การจะไปสู่จุดนั้น แม้จะดูไม่ยากนัก แต่ถ้าจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาอย่างสง่างาม ก็ต้องทำให้พรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.เข้ามามากที่สุด เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ดังนั้น พลังดูดของพรรคพลังประชารัฐ ก็จะทำงานอีกครั้งในการดูด ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เข้าพรรคให้มากที่สุด

ส.ส.ที่เคยเป็นงูเห่าอยู่ในพรรคฝ่ายค้าน ที่คอยโหวตช่วยรัฐบาล ก็จะได้โอกาสในการย้ายพรรค โดยมีทางเลือกว่า จะมาพรรคพลังประชารัฐโดยตรง หรือจะอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย ที่ปลัดฉิ่ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดมหาดไทย เป็นแกนนำตั้งขึ้นมา แต่ถูกมองว่าเป็นพรรคของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่มีนายฉัตรชัยเป็นมือขวาทำงานข้างกายด้วยกันมานานหลายปี

จนมีข่าวสะพัดว่า มีบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. เป็นที่ปรึกษา และมีชื่อบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองราชเลขาธิการ อดีต ผบ.ทบ. น้องรักบิ๊กตู่ จะมาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ขุมข่าวใกล้ชิดนายฉัตรชัยปฏิเสธว่าไม่จริง ที่จะให้ พล.อ.อภิรัชต์มาเป็นหัวหน้าพรรค

แต่กระนั้น พล.อ.อภิรัชต์ก็ยังคงถูกจับตามองว่า จะลงสู่ถนนสายการเมือง สู่ทำเนียบรัฐบาลในสักวันเมื่อชาติต้องการ เพื่อมาปกป้องสถาบันจากขบวนการล้มเจ้า ที่แทรกในหมู่นักการเมือง

นอกจากนี้ เครือข่าย 3 ป.ยังมีพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีแรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ ผช.รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์บิ๊กตู่มาตลอด เป็นหัวหน้าพรรค และถูกมองว่าเป็นพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะชื่อพรรคตรงกับนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ แถม ดร.เสกสกลก็อยู่ติดตัวนายกฯ

แต่ก็ใช่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไปเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเป็นแค่พรรคพันธมิตรของพรรคพลังประชารัฐ ที่ตั้งขึ้นมาสำรองเอาไว้ และพร้อมร่วมรัฐบาลกับ พปชร. เช่นเดียวกับพรรคเศรษฐกิจไทย

แต่ที่ต้องจับตามองคือ มีแนวโน้มสูงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของ พปชร.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเลย เพื่อจะได้เป็นนายกฯ คนใน แต่คงยังไม่ถึงขั้นมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเอง เพราะ พล.อ.ประวิตรยังคงไหวอยู่ และดูจะยึดพรรคแบบเต็มตัวแล้ว และดูจะชอบงานการเมืองเสียแล้ว

แต่ก็ต้องรอดูว่า ในคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่ จะมีการวางตัวใครเพิ่มเติมเข้ามาหรือไม่ เช่น ตัวแทนกลุ่มทุน หรือคนของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ในอนาคตอาจจะมาเป็นหัวหน้าพรรคเอง

ที่แน่ๆ เก้าอี้เลขาธิการพรรคนั้น ถึงเวลาที่ พล.อ.ประวิตรจะดัน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองหัวหน้าพรรค ลูกเลิฟมือขวา มานั่งแบบเต็มตัว หลังจากที่ทำหน้าที่เสมือนเลขาฯ พรรคมายาวนาน

ยิ่งเมื่อมีแนวโน้มจะยุบสภา และเลือกตั้งในปีหน้า จึงยิ่งเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องดัน ร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาธิการพรรคเลย เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งในปีหน้า จากเดิมที่จะให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นเลขาฯ พรรคก่อน

เพราะที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัสก็ทำหน้าที่เสมือนเลขาฯ พรรคอยู่แล้ว เพราะมีปัญหาอะไร พล.อ.ประวิตรก็เรียกหา “นัสๆ” ประมาณว่า ปัญหาไหนใครทำไม่ได้ แก้ไม่ได้ ก็ต้องใช้ผู้กองธรรมนัสในทุกเรื่อง

แต่การจะเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค พปชร. และเลขาธิการพรรค ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกลุ่มสามมิตรก็ต้องการที่จะรักษาเก้าอี้เลขาฯ พรรค ที่เสี่ยแฮงค์ นายอนุชา นาคาศัย นั่งคุมอยู่ และดันนายสมศักดิ์ เทพสุทิน สู้กับ ร.อ.ธรรมนัส ชิงเลขาฯ พรรค

จนมีข่าวว่า จะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคที่ขอนแก่น ช่วง 20 มิถุนายน หลังจากที่เลื่อนมานาน โดยที่นายอนุชาบอกว่าไม่รู้ พล.อ.ประวิตรยังไม่ได้แจ้งอะไร แต่มีข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะลงพื้นที่อีสานและขอนแก่นในช่วง 18-19 มิถุนายน

ที่ถูกมองว่าเป็นปฏิบัติการหักดิบยึดเก้าอี้เลขาฯ พรรคของ พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัส หรือไม่ เพราะมี อ.แหม่ม นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และเลขาฯ ส่วนตัว พล.อ.ประวิตร ได้รับมอบหมายให้เตรียมการปรับโครงสร้างพรรค ตามที่หัวหน้าป้อมให้แนวทางไว้

รวมทั้งสั่งการให้เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในปี 2565 ในการสำรวจฐานเสียงในแต่ละพื้นที่ โดยให้ ส.ส.และอดีตผู้สมัคร เตรียมทำพื้นที่แต่เนิ่นๆ เพราะเป้าหมายของหัวหน้าป้อมครั้งนี้ คือต้องได้จำนวน ส.ส.มาเป็นที่ 1 และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดัน พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 2 ทำลายสถิติการเป็นนายกฯ ที่ยาวนานที่สุดยุค คสช. 5 ปี ยุคเลือกตั้ง 3 ปี และสมัยหน้าอีก 3-4 ปี

ถึงขั้นที่มีกระแสข่าวสะพัดว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยเกือบครึ่งหนึ่งจะถูกดูดออกมา เพราะช่วงที่ผ่านมา อยู่กันแบบไม่ได้รับการดูแล ไม่ได้เงินเดือน ส.ส.จากพรรค แถมทั้งปัญหาภายในพรรค และยังไม่มีจุดขาย ไม่มีหัวหน้าพรรค ที่จะมาเรียกคะแนนและชิงกับ พล.อ.ประยุทธ์ได้

หากพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.มากที่สุด ก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก เจรจาต่อรอง ล็อบบี้ และต้องยอมให้เก้าอี้ รมต.เกรดเอกับพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เช่นครั้งที่ผ่านมา

แต่ก็มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตรได้คุยกับนายเนวิน ชิดชอบ ผู้มีบารมีของพรรคภูมิใจไทย ที่เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ให้ความเคารพไว้แล้ว เพราะถึงยังไงก็เคยร่วมตั้งรัฐบาลในค่ายทหารให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมาแล้ว จนมาถึงร่วมรัฐบาลกับ พปชร.ครั้งนี้ และรวมไปถึงหลังการเลือกตั้งในปีหน้า

เพราะถึงอย่างไร ฝ่ายพี่น้อง 3 ป. พรรคพลังประชารัฐ ก็เป็นต่อ เพราะเป็นรัฐบาล แถมมีทั้งงบประมาณและเงินกู้ในมือ และก็ยังมี 250 ส.ว.อยู่ตามบทเฉพาะกาล 5 ปีของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ยังคงมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี

นายอนุทินและนายเนวิน รวมทั้งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องดูทิศทางลมแล้วว่า สัญญาณที่ส่งมา ยังคงเป็นเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์

แม้ว่าทุกวันนี้จะอยู่ด้วยกันด้วยความจำเป็น และความอยู่รอด จึงต้องยอมร่วมรัฐบาล และอดทนไม่ถอนตัว แม้จะเกิดความรู้สึกทางใจกันเกิดขึ้นก็ตาม

โดยเฉพาะนายอนุทินที่รู้ทิศทางลม รู้จังหวะเวลา ว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ จนกว่า 250 ส.ว.จะไป

นายอนุทินถือเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง ที่แม้ไม่แสดงตนเป็นคู่แข่งกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ยังถือว่า คนละพรรค คนละฝ่าย และแข่งกันในการเลือกตั้ง

แถมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ก็รู้ดีเกี่ยวกับนายเนวิน และสายสัมพันธ์ของนายอนุทินกับหลายบิ๊กเนมทางการเมือง ข้าราชการ ตำรวจ และในกองทัพ รวมถึงสายระดับสูง

แต่ตราบใดที่พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ ส.ส.มากที่สุดในสภา นายอนุทินก็ยังไม่กล้าที่จะเป็นนายกฯ ต่อให้พรรคเพื่อไทยจะประเคนเก้าอี้นายกฯ ให้เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็ตาม เพราะรู้ดีว่า ตัวเองจะโดนอะไร เจออะไร และคงเป็นนายกฯ ได้ไม่นาน

ด้วยเพราะทุกอย่างถูกออกแบบ จัดวางมาเพื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จนกว่าเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์จะหมดลง แต่ก็จะมีตัวตายตัวแทนที่เตรียมวางเอาไว้รออยู่

แต่หากไม่มี ส.ว.ชุดที่ คสช.ตั้งไว้ เมื่อใดเมื่อนั้น นายอนุทินก็จะสู้เต็มที่ เพราะเวลานี้ไม่ใช่แค่ พปชร.ที่ปล่อยพลังดูด แต่พรรคภูมิใจไทยก็ดูดเช่นกัน เพื่อที่จะเพิ่มจำนวน ส.ส.ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ร.อ.ธรรมนัส เป็นประธานรุ่น ตท.25

กลไกสำคัญที่จะช่วยเนรมิตความฝัน หรือเป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร ก็คือ ร.อ.ธรรมนัส ที่เคยอยู่พรรคเพื่อไทยมา และมีสมัครพรรคพวกเยอะ แถมมีทุนรอนมหาศาล และมีความน่าเกรงขาม สไตล์เสธ.ทหาร ที่เคยเดินมาในเส้นทางสีเทา

พล.อ.ประวิตรทุ่มไม่อั้น คาดหวังให้ดูด ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคฝ่ายค้านอื่นมาให้ได้มากที่สุด

แต่ก็ต้องรอดูท่าทีของกลุ่มสามมิตร ที่หากไม่ได้เป็นเลขาฯ พปชร. แล้วจะไม่พอใจ แยกวงไปตั้งพรรคใหม่หรือไม่

แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่ ร.อ.ธรรมนัส ที่สถานการณ์เอื้อให้ขยับนั่งเก้าอี้เลขาฯ พปชร. พร้อมอำนาจ บารมีเปล่งปลั่ง

ไม่ใช่แค่จ่อนั่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น มีบรรดา ส.ส.กองเชียร์ และพลพรรคมองว่า ในอนาคตอันไม่ไกลเกินไปนัก ร.อ.ธรรมนัสอาจมีโอกาสเป็นมากกว่ารัฐมนตรี เช่นที่มีผู้คนจับตามองแบบประชดประชัน

หากพี่น้อง 3 ป.ถอยออกจากการเมือง ถอยออกจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วให้ทายาทรุ่น 2 เข้ามาดูแลพรรคแทน

ในจำนวนนั้น ก็คาดว่ามี ร.อ.ธรรมนัส ที่เป็นนักการเมืองสายเลือดทหาร ที่ พล.อ.ประวิตรหมายตาเอาไว้ให้เป็นหัวหน้าพรรคแทน เพราะมีทั้งทุนและ ส.ส.ในมือ

แต่ ร.อ.ธรรมนัสรู้ตัวดีว่า ด้วยเส้นทางสีเทาที่เดินมา และเจอคดียาเสพติดที่ศาลออสเตรเลีย คงไม่อาจที่จะเป็นนายกฯ ได้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแล้วว่า ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. และ รมต.ก็ตาม

แต่ก็คาดกันว่า ร.อ.ธรรมนัสจะเป็นผู้จัดการรัฐบาล และนั่ง รมว.มหาดไทย หรือ มท.1 ในอนาคต เมื่อบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ พี่รอง 3 ป.วางมือ เพื่อคุมพื้นที่ คุมฐานเสียง และทำหน้าที่คอยสนับสนุนคนที่ 3 ป.เลือกไว้มาเป็นนายกฯ ร.อ.ธรรมนัสจะเป็นเสมือน พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ผู้มากบารมีในรัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐ

ร.อ.ธรรมนัสกับดร.หิมาลัย

 

ในอีกบทบาทหนี่ง จะได้เห็นว่า ร.อ.ธรรมนัสกลับไปใกล้ชิดกับเพื่อนทหาร ตำรวจ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 25 มากขึ้น

หลังจากที่ตัดสินใจรับตำแหน่งประธานรุ่น ตท.25 เมื่อปีที่แล้ว ก็ทำให้รุ่นนี้ดูคึกคัก และรวมตัวกันแน่นมากขึ้น และถูกจับตามอง

จากเดิมที่นายทหาร ตท.25 ในแต่ละเหล่าทัพ ไม่มีใครที่โดดเด่นมากนัก โดยเฉพาะใน ทบ.ที่โดน ตท.24 และ ตท.26-27 เบียดมาตลอด ส่วน ทร. และ ทอ.นั่นมีดาวเด่นอยู่บ้างแล้ว

หลังจากที่ ร.อ. ธรรมนัสได้รับเลือกให้เป็นประธาน ตท.25 เมื่อมกราคม 2563 ก็ทำให้ ตท.25 โดยเฉพาะในส่วน ทบ.คึกคักยิ่งขึ้น จากบิ๊กแจง พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง จเรตำรวจ มาถึง พล.ต.วสุ เจียมสุข รอง ผบ.นรด. แม้ตามคิวจะวนจากตำรวจ-ทบ. แล้วต้องให้ทหารเรือเป็นประธานรุ่น

แต่เพื่อน ตท.25 ในส่วนทหารเรือก็หลีกทางให้ ร.อ.ธรรมนัส ที่กำลังเปี่ยมบารมีในทางการเมือง นั่งประธาน เพราะมีความพร้อมทุกด้าน แถมเป็น รมต. และยังได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารดีเด่นด้วย

เมื่อ ร.อ.ธรรมนัสเป็นประธานรุ่น ตท.25 ก็รวบรวมผองเพื่อนให้มาพบปะกันเนืองๆ โดยให้เสธ.หิ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ เพื่อนรัก เป็นแกนหลัก เพราะชื่อชั้นเสธ.หิไม่ธรรมดา และเคยเดินมาในเส้นทางคนมีสีเช่นเดียวกัน

และเป็นที่รู้กันดีว่า เสธ.หิเป็นเพื่อนที่ ร.อ.ธรรมนัสส่งไปช่วยบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. โดยมี พปชร.คอยสนับสนุน

หลัง ร.อ.ธรรมนัสเป็นประธานรุ่น กลุ่มเพื่อนธรรมนัสก็มีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิด เสธ.หิจะนำแกนนำรุ่นลงพื้นที่แจกของและอาหารชาวชุมชนใน กทม. และลงไปภาคใต้ที่สงขลา

พล.ต.วสุ เจียมสุข ร้อยเอกธรรมนัส
พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี

 

บทบาทของ ร.อ.ธรรมนัสในทางการเมือง ส่งผลให้นายทหาร ตท.25 ในกองทัพถูกจับตามองว่า จะมีโอกาสเติบโตในกองทัพมากขึ้นหรือไม่

แต่ดูจะไม่มีผลมากนัก เพราะไม่ค่อยโดดเด่นถึงขั้นจะเป็น ผบ.ทบ.ได้ เพราะไม่มีที่เป็นนายทหารคอแดง หรืออยู่ในไลน์

เพราะมีแค่บิ๊กต้น พล.ต.ศานติ ศกุนตนาค ผบ.พล.ร.5 ที่มีโอกาสขึ้นแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ ผบ.ฉกนราธิวาส ทบ.ส่วนกลางก็มี พล.ต.วสุ เจียมสุข รอง ผบ.นรด. อดีตประธานรุ่น ตท.25 ที่จ่อเป็น ผบ.นรด. และ พล.ต.ทวีพูล ริมสาคร เสธ.นรด.

พล.อ.ท.มนัท ชวนะประยูร
พล.ร.ท.สุวิน แจ้งยอดสุข

ในส่วนตำรวจ ก็มีบิ๊กแจง พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง จเรตำรวจ พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร รอง ผบช.ภาค 1 พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภาค 5 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก สตช. พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.ภาค 6 แต่ที่ถูกจับตามองคือ บิ๊กหลวง พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภาค 3 และบิ๊กอ้อ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี นายตำรวจประจำทำเนียบฯ

ส่วนกองทัพเรือ มีแกนนำรุ่น เช่น รองเดี่ยว พล.ร.ต.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช รองเจ้ากรมข่าวทหาร เสธ.เบิร์ด พล.ร.ต.พาสุกรี วิลัยรักษ์ ผอ.สำนักจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทร และ ผบ.กุ้ง พล.ร.ต.ปรีดิวัฒน์ ดิลกนรนารถ ผบ.กองเรือลำน้ำ

และที่ถูกจับตามองที่เติบโตมาในไลน์อยู่แล้ว เพราะผ่านการเป็นผู้การเรือ และ ผช.ทูตทหาร ตามธรรมเนียมทหารเรือ เช่น เสธ.วิน พล.ร.ท.สุวิน แจ้งยอดสุข ฝ่าย เสธ. ผบ.ทร. น้องชายบิ๊กปั้ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.

พล.อ.ท.ไวพจน์ เกิงฝาก
พล.ร.ต.ปรีดีวัฒน์ ดิลกนรนารถ

ขณะที่กองทัพอากาศ มีแกนนำรุ่นอย่าง พล.อ.ต.ศรสิต กีรติพล เจ้ากรมพลาธิการทหารอากาศ แต่ที่เป็นดาวเด่นอยู่ในไลน์ ผ่านการเป็นผู้การกองบิน และ ผช.ทูต ทอ. ตามประเพณี ทอ. เช่น เจ้ากรมเจ๋ง พล.อ.ท.มนัท ชวนะประยูร เจ้ากรมข่าว ทอ.

และโดยเฉพาะ พล.อ.ท.ไวพจน์ เกิงฝาก เจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ ที่มีอายุราชการถึง 2570

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ
พล.ต.ศานติ ศกุนตนาค

การกลับมารวมกลุ่ม ต่อสายใยกับเพื่อนตำรวจ ทหาร ตท.25 ถือเป็นอีกก้าวหนี่งที่ ร.อ.ธรรมนัสกระชับคอนเน็กชั่นไว้ ในวันข้างหน้า หากได้ไฟเขียวจาก 3 ลุง 3 ป. ให้สานต่อการดูแลพรรค และดูแลประเทศต่อ ไม่ว่าจะในตำแหน่งไหนก็ตาม

เพราะว่ากันว่า สัญญาณบางอย่างเริ่มชัดเจนตั้งแต่วันที่ พล.อ.ประวิตรเสนอชื่อ ร.อ.ธรรมนัสเป็น รมช.เกษตรฯ เรื่อยมาจนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้เป็น ส.ส. และ รมต.ได้

จึงไม่แปลกที่ ร.อ.ธรรมนัสสายเลือดเตรียมทหาร จะปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่า คนเทาๆ คนนี้จะทำเพื่อชาวบ้าน เพื่อประชาชน เพื่อพิสูจน์ตนเอง เพราะเรื่องในอดีตมันเปลี่ยนไม่ได้ แต่ทำอนาคตให้ดีได้ และใช้ม็อตโต้ที่ว่า “ชีวิตที่เหลือ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” นั่นเอง