นพมาส แววหงส์ : JASON BOURNE “รุกล้ำความเป็นส่วนตัว”

นพมาส แววหงส์

เจสัน บอร์น เป็นแคแร็กเตอร์ในนวนิยายที่สร้างสรรค์โดย โรเบิร์ต ลัดลัม และมาอยู่ในโลกภาพยนตร์ครั้งแรกใน ค.ศ.2002

หนังเรื่อง The Bourne Identity ที่กำกับฯ โดย ดัก ไลแมน กลายเป็นหนังแอ๊กชั่นยอดนิยมอย่างฉับพลันทันที ด้วยจังหวะของเรื่องที่เร้าใจ และความระทึกใจนั่งไม่ติดตั้งแต่ต้นจนจบ

และทำให้ แมตต์ เดมอน กลายเป็นพระเอกนักบู๊คนใหม่ที่หาใครเทียมเทียบได้ยาก

อีกสองปีต่อมา ภาคสองในชื่อ The Bourne Supremacy จึงตามต่อมา โดยเปลี่ยนผู้กำกับฯ เป็น พอล กรีนกราส ซึ่งยังคงจับลักษณะของ เจสัน บอร์น ไว้ได้อยู่หมัด และคงจังหวะความเร้าระทึกเช่นเดิม

อีกสามปีต่อมา ภาคสามในชื่อ The Bourne Ultimatum ก็ตามมาอีก เหมือนจะเป็นบทส่งท้ายแก่ไตรภาคชุด เจสัน บอร์น ด้วยฝีมือของ พอล กรีนกราส อีกครั้ง

แต่ความนิยมในไตรภาคชุดนี้ ก็ยังขยายต่อสู่จตุรภาค ซึ่งประสบปัญหาใหญ่คือตัวพระเอก แมตต์ เดมอน เอง ไม่ยอมเล่นต่ออีกแล้ว แต่ไม่มีปัญหาอะไรที่ใหญ่เกินวงการภาพยนตร์จะฝ่าฟันแก้ไข ตราบใดที่หนังยังมีท่าว่าจะทำเงินได้

เราจึงได้ดู The Bourne Legacy ด้วยฝีมือกำกับฯ ของ โทนี่ กิลรอย

โดยมีพระเอกคนใหม่คือ เจเรมี่ เรนเนอร์ ในบท อารอน ครอสส์ ซึ่งโยงเรื่องเข้ากับเรื่องราวที่ เจสัน บอร์น ริเริ่มและพัฒนาไว้ และหลังจากเปิดโปงบุคคลในวงการระดับผู้นำองค์กรระดับชาติแล้ว บอร์นทำตัวสาบสูญไป

 

และแล้ว หนังชุดนี้ก็ขยายไปสู่การเป็นเบญจภาคจนได้ โดยคราวนี้ แมตต์ เดมอน กลับมารับบท เจสัน บอร์น อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าคงไม่สามารถขัดขืนความเย้ายวนใจของอำนาจเงินตราไว้อีก

แถมยังมานั่งเก้าอี้หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างด้วย และด้วยฝีมือกำกับฯ ของ พอล กรีนกราส ซึ่งเข้าใจองค์ประกอบความสำเร็จและจังหวะดุจพายุหมุนของหนัง

เท้าความความเป็นมาก่อนหน้านี้สักนิดหน่อยนะคะสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับ เจสัน บอร์น ซึ่งมีอักษรย่อเดียวกับ เจมส์ บอนด์ คือ “เจ. บี” แถมนามสกุลยังฟังเผินๆ คล้ายๆ กันเหมือนพี่น้องเสียอีก

แรกเริ่มเดิมทีเมื่อเปิดเรื่องในหนังภาคแรก เจสันถูกชาวประมงช่วยขึ้นจากทะเลนอกชายฝั่งทางใต้ของฝรั่งเศส และเมื่อฟื้นคืนสติ เขาไม่มีความทรงจำเลยว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ไม่รู้แม้แต่ชื่อของตัวเอง และในเซฟที่เก็บอย่างปลอดภัยที่ธนาคาร เขาพบหนังสือเดินทางของประเทศต่างๆ นับสิบเล่ม ที่มีรูปถ่ายของเขาเองแต่ในชื่อเสียงเรียงนามแตกต่างกันไป ชื่อ เจสัน บอร์น เป็นเพียงชื่อล่าสุดที่เขาใช้ในปฏิบัติการที่นำไปสู่อุบัติเหตุที่เกือบทำให้เขาจมน้ำตาย

ท่ามกลางความมืดแปดด้าน เจสันถูกไล่ล่าอย่างดุเดือดและไม่ลดละด้วยองค์กรที่มองไม่เห็นหน้า แต่เขาก็ใช้ทักษะการเอาตัวรอดและความแหลมคมของการประเมินสถานการณ์ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ทุกรูปแบบ หนีหัวซุกหัวซุน และคลำทางไปเรื่อยๆ จนได้รู้ว่าตัวเองได้รับการฝึกฝนมาเป็นนักฆ่าอาชีพ

แต่มนุษยธรรมที่ยังแฝงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เขาต้องการตีตัวออกห่างจากโครงการลับขององค์กรใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วโลกที่เขาเคยสังกัดอยู่

 

และหนัง เจสัน บอร์น ที่กวาดเงินจากบ็อกซ์ออฟฟิศได้ทุกภาค เป็นเรื่องราวของการหนีอย่างหัวซุกหัวซุน เตลิดเปิดเปิง จากการตามจี้ติดหลังขององค์กรที่มีเครือข่ายและอิทธิพลครอบคลุม

เจสัน บอร์น กลายเป็นบุคคลอันตรายและนำความหายนะมาให้แก่ใครก็ตามที่เขาเฉียดเข้าใกล้ และคนที่สั่งการและไล่ล่าเขาก็เป็นบุคคลอันตรายไม่แพ้กัน

คนที่ติดตามเรื่องราวจากไตรภาคก่อนจะเปลี่ยนพระเอกเป็น เจเรมี่ เรนเนอร์ ได้รู้แล้ว เจสัน บอร์น มีชื่อจริงว่า เดวิด เว็บบ์ และเขาเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของซีไอเอ ซึ่งมีโครงการนอกการรับรู้ของสาธารณชน อย่างเช่น “เทรดสโตน” และ “แบล็กไบรอาร์” ซี้งที่สุดของที่สุด ก็ต้องล้มพับไปจากการเปิดโปงอันซับซ้อนของ เจสัน บอร์น

ก่อนที่เขาจะหายตัวไปในโลกกว้าง และเมื่อ เจสัน บอร์น ต้องการหายตัวไปจากโลก นั่นหมายความว่าเขาหายตัวไปได้จริงๆ

ประเด็นตรงนี้คือ เมื่อเปิดเรื่องในภาคปัจจุบัน เจสัน บอร์น เร่ร่อนไปเป็นนักสู้ในสังเวียนข้างถนน ท่ามกลางฝูงชนที่พนันขันต่อกันอย่างดุเดือด

พูดง่ายๆ คือ เจสัน บอร์น ไม่ได้พยายามทำตัวเป็น “โนบอดี้” เลย แถมไม่มีการปลอมตัวไม่ให้ใครจำหน้าจำตาได้เสียด้วย

เจสัน บอร์น ผู้อยากหายหน้าไปจากโลก ไม่ได้ทำตัวเหมือน ทอม ครูส ในบท “มนุษย์พันหน้า” อีธาน ฮอว์ก แห่ง Mission Impossible แม้แต่รูปถ่ายในพาสปอร์ตทุกเล่มดูแล้วใครๆ ก็ยังจำได้ว่าเป็น แมตต์ เดมอน ทุกรูป

อีกนั่นแหละ ประเด็นก็คือ ด้วยเทคโนโลยีการจำหน้าใบหน้าของกองตรวจคนเข้าเมืองประเทศใหญ่ๆ ทั้งหลาย…และเจสันก็เดินทางข้ามประเทศโน้นประเทศนี้เป็นว่าเล่นเสียด้วย… เจสันไม่เคยถูกจับได้เลย

ที่น่าขัดใจที่สุด คือตอนเขาเดินทางเข้าสหรัฐ เพื่อไปลาสเวกัส เขาก็ไม่ได้เตรียมการเผื่อเหลือเผื่อขาดผ่านเข้าประเทศเลย ดีแต่ว่าระฆังช่วยไว้ในยกสุดท้าย โดยเขาไม่ได้รู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ นี่เป็นช่องโหว่ช่องใหญ่ในพล็อตเลยค่ะ

คราวนี้โครงการสำคัญที่เกิดขึ้นใหม่ในหน่วยงานราชการลับของชาติ ภายใต้ผู้อำนวยการคนใหม่ (ทอมมี่ ลี โจนส์) คือ “ไอออนแฮนด์” และซีไอเอยังร่วมมือกับเอกชนในโลกไอที ที่กำลังจะเปิดตัวแอปป์ใหม่ล่าสุดแก่ผู้บริโภค ในชื่อ “ดีพ ดรีม” ซึ่งสัญญาจะไม่มีการรุกรานสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค

ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเอกอย่าง เจสัน บอร์น ต้องเปิดโปงอีกครั้ง

 

หนังเรื่องนี้จึงพูดถึงอันตรายจากการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวในโลกสมัยใหม่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมดด้วยดาวเทียม สัญญาณมือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เรียกว่าใครทำอะไรอยู่ในซอกมุมไหนของโลก ถ้าต่อเข้าไอที ก็จะตามตัวถึงได้ในลัดนิ้วมือทั้งนั้น

หนังภาคนี้มี “ผู้ร้าย” ในบทนักฆ่าอาชีพขององค์กร ในฉายา “แอสเส็ต” (วินเซนต์ คาเซล) ซึ่งบทเขียนให้มีประวัติและความแค้นส่วนตัวกับ เจสัน บอร์น จนไม่สามารถปล่อยให้ลอยนวลอยู่ได้

และมี “นางเอกหน้าใหม่” ที่มีพฤติกรรมที่ตอนแรกก็ดูดี แต่แล้วก็กลายเป็นน่าเคลือบแคลง ในตัวหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการไซเบอร์คนเก่ง ผู้ทะเยอทะยาน ชื่อ เฮเธอร์ ลี (อลิเชีย วิการเดอร์ นักแสดงชาวสวีเดนที่ดังขึ้นมาจากเรื่อง The Danish Girl) ซึ่งจากฉากท้ายเรื่อง เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นตัวร้ายคนต่อไปของหนังชุดนี้

ถ้าไม่ใส่ใจกับรายละเอียดที่ไม่น่าเป็นไปได้หลายอย่าง (การจัดการกับพวกเดียวกันทั้งทีมระหว่างปฏิบัติการ เพื่อจุดหมายซ่อนเร้น ก็เหลือเชื่อพอดู) จังหวะและความเร้าใจของหนังก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมค่ะ

เสียแต่ว่าความแปลกใหม่มันหมดไปแล้ว เพราะเดินเรื่องตามสูตรเดียวกันมาหลายหนเกินไปหน่อย

อีกอย่างรู้สึกว่า แมตต์ เดมอน จะแก่เกินไปสำหรับบท เจสัน บอร์น เสียแล้ว

JASON BOURNE
กำกับการแสดง
Paul Greengrass

นำแสดง
Matt Damon
Tommy Lee Jones
Alicia Vikander
Vincent Cassel
Julia Stiles