วงค์ ตาวัน : เลือด-อคติ

วงค์ ตาวัน

สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลได้ออกข่าวเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และเป็นคลิปที่เผยแพร่ในยูทูป เป็นข่าวที่รายงานโดยศูนย์ข่าวภาคเหนือ ว่าด้วยเรื่องการขอรับบริจาคเลือดของโรงพยาบาลใหญ่ในเชียงใหม่ ซึ่งมีผู้บริหารของโรงพยาบาลได้อธิบายถึงปริมาณเลือดในกรุ๊ปต่างๆ ว่ามีเท่าไร ใช้เท่าไร ขาดแคลนอย่างไร

เพื่อต้องการเรียกร้องให้ผู้มีจิตอาสาร่วมกันบริจาคเลือด เพื่อสำรองไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ตอนหนึ่งของข่าว ได้กล่าวถึงเรื่องกรุ๊ปเลือดของคนชนเผ่าว่า ไม่สามารถนำเลือดของคนทั่วไปหรือของคนพื้นราบไปใช้ได้ ต้องเป็นกลุ่มชนเผ่าด้วยกันเท่านั้น เพราะมีสารบางชนิดในเลือดของกลุ่มชนเผ่า ไม่สามารถนำมาใช้กับคนทั่วไปได้

ประเด็นนี้แหละที่สะดุดหูคนฟังยิ่งนัก

“ด้วยไม่เคยปรากฏในตำราการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์เล่มใด ว่าเลือดของคนชนเผ่ามีสารบางอย่างที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไป!?”

เพราะมนุษย์ทุกคนในโลกมีเลือดที่เหมือนกัน โดยแยกแยะเป็นกรุ๊ปต่างๆ แต่ไม่มีคนส่วนไหนในโลกนี้ ที่มีสารบางอย่างอันแตกต่างจากมนุษย์อื่นๆ เป็นแน่

“จึงถือเป็นข้อมูลผิดๆ ที่น่าจะส่งผลกระทบด้านเหยียดหยามและมีอคติต่อคนชนเผ่ามากกว่า”

หลังหนังสือพิมพ์ข่าวสด ไปติดตามหาข้อเท็จจริงข่าวนี้ ได้รับคำยืนยันจากคนที่เกี่ยวข้องในข่าวทุกฝ่ายว่าไม่เป็นความจริง

สถานีโทรทัศน์ดังกล่าว ได้ลบข่าวนี้ออกจากออนไลน์ทั้งหมดทันที

ขณะที่ผู้บริหารโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ที่นักข่าวทีวีไปสัมภาษณ์เป็นข่าวเรียกร้องการรับบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ก็ได้ออกแถลงการณ์ว่า การนำเสนอข่าวทำนองดังกล่าว อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในการสื่อสาร ยืนยันว่าโลหิตของชนเผ่าสามารถนำไปใช้กับคนทั่วไปได้เป็นปกติ ไม่มีปัญหาใดๆ

“ที่ผ่านมาโลหิตที่ได้รับบริจาคจากคนชนเผ่า ทางโรงพยาบาลสามารถนำไปช่วยเหลือประชาชนพื้นราบได้เช่นกัน”

สำหรับประเด็นที่อาจนำมาสู่ความเข้าใจผิดพลาดนั้น เป็นกรณีผู้ป่วยกลุ่มชนเผ่าบางคน จะมีภูมิคุ้มกันหรือแอนตี้บอดี้บางตัวที่สร้างขึ้นมาเอง การให้เลือดจึงต้องรับจากญาติของผู้ป่วยเท่านั้น

“แต่เป็นกรณีที่พบน้อย เพียงหนึ่งในแสนเท่านั้น!”

นั่นคือคำยืนยันจากโรงพยาบาล

เป็นอันได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า โดยปกติทั่วไปเลือดของคนชนเผ่าก็เหมือนกับเลือดของคนพื้นราบ หรือมนุษย์ทั้งโลก ไม่ได้มีสารพิเศษอะไรที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน

ที่เป็นกรณีพิเศษก็คือ เคยพบว่าชนเผ่าบางรายมีภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นมาเอง ทำให้ต้องใช้เลือดจากญาติพี่น้องเท่านั้น เป็นกรณีหนึ่งในแสน

“แต่โดยทั่วไปไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดแตกต่างกันมนุษย์คนอื่น”

นายไวยิ่ง ทองบือ ประธานมูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ได้ออกมาให้ความเห็นต่อข่าวนี้ว่า ทำให้คนชนเผ่าไม่สบายใจและรู้สึกคลางแคลงใจอย่างมาก รวมทั้งรู้สึกว่าเหมือนการเหยียดหยามและมีอคติกับพี่น้องชาติพันธุ์

สิ่งที่จะรอรับฟังจากโรงพยาบาลก็คือ การชี้แจงข้อเท็จจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้ชัดจนและกระจ่าง ว่าชนเผ่ามีสารอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถนำไปใช้กับคนทั่วไปได้จริงหรือไม่ และสารนั้นคืออะไร

“นายไวยิ่งบอกด้วยว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะคนชนเผ่าต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก และคนชนเผ่าก็เป็นผู้บริจาคโลหิตให้โรงพยาบาลด้วย”

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ความไม่พอใจจะลุกลามกลายเป็นการเคลื่อนไหวใดๆ

เมื่อข้อเท็จจริงได้รับการคลี่คลายอย่างรวดเร็วว่าเป็นข่าวที่คลาดเคลื่อน เลือดของคนชนเผ่าก็เหมือนมนุษย์ปกติ ไม่ได้มีสารพิเศษอะไร

สถานีโทรทัศน์ดังกล่าว ก็ยอมรับความผิดพลาด ลบคลิปข่าวนั้นออก และได้นำเสนอข้อมูลใหม่ที่ถูกต้อง

ฝ่ายผู้บริหารโรงพยาบาลก็แถลงอย่างเป็นทางการ ยืนยันว่าเลือดคนชนเผ่าหรือคนพื้นราบก็เหมือนๆ กัน

“ความเข้าใจที่ผิดๆ คงจะหมดสิ้นไป”

แต่ที่สำคัญ บทเรียนของเหตุการณ์นี้ ทำให้เห็นได้ว่าสังคมไทย ยังแอบมีทัศนคติที่เห็นคนชนเผ่า คนชาติพันธุ์ หรือคนในเชื้อชาติศาสนาอื่น ว่ามีความแตกต่างกับคนไทยเรา

อันเป็นต้นตอของปัญหาความขัดแย้งบานปลายในหลายๆ เรื่อง

เฉพาะคนชนเผ่าในภูดอยภาคเหนือ

ก่อนหน้าจะมีข่าวเรื่องเลือดนี้ ก็พบว่ามีการเขียนตำนานที่มั่วซั่ว ก่อความเข้าใจผิดมาแล้ว

“เช่น ลานสาวกอด”

ทำให้คนจากพื้นราบจำนวนมาก เดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ของชาวเขา แล้วก็จะดิ่งไปหาลานสาวกอด หรือมองหญิงสาวในหมู่บ้านเหล่านั้นเหมือนเป็นวัตถุทางเพศ

ทั้งที่ความเป็นจริงนั้น ผู้ที่เขียนตำนานเหล่านี้ เขียนเอาไว้หลายสิบปีก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอาข้อมูลมาจากไหน

หรือเข้าใจแค่ว่า ในสมัยนั้น การเดินทางขึ้นไปยังพื้นที่บนดอยสูง เป็นไปอย่างยากลำบาก คงไม่มีใครเข้าถึงได้ง่ายๆ

ดังนั้น อยากจะเขียนอะไรก็เขียนได้ เพราะไม่มีใครในเวลานั้นจะพิสูจน์ความจริงได้

“ทั้งหลายทั้งปวง ก็มาจากความมีอคติ ความรู้สึกเหยียดหยาม มองว่าคนชาติพันธุ์เป็นคนประหลาดอะไรทำนองนั้น!”

ความมีอคติ ไม่เข้าใจในรายละเอียดของคนชาติพันธุ์ คนต่างเชื้อชาติศาสนา และมักหลงคิดว่าความเป็นคนไทยเหนือกว่า ได้ก่อปัญหาขัดแย้งมากมาย และที่ร้ายแรงเป็นรูปธรรมมากสุด ไม่พ้นกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เห็นได้จากในทุกวันนี้ คนในพื้นที่อื่นที่นอกเหนือจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็ยังมองว่ากลุ่มก่อความไม่สงบคือพวกโจรใต้ พวกกองกำลังที่มุ่งจะแบ่งแยกดินแดนออกไปเป็นรัฐอิสระ

จึงมักแสดงความเห็นเหมือนๆ กัน ในทุกครั้งที่เกิดเหตุรุนแรงทำนองว่า ทำไมรัฐบาลไทยยังใจดีกับพวกโจรเหล่านี้ ทำไมไม่เปิดศึกสงครามบดขยี้ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ภาคใต้ของเราจะได้สงบสุขเสียที

“ราวกับไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ทั่วโลกว่า สงครามที่มีเรื่องความคิดความเชื่ออุดมการณ์เกี่ยวข้องนั้น ยิ่งปราบอีกฝ่ายจะยิ่งโต”

เพราะอคติในเชื้อชาติ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เคยเปิดใจกว้างศึกษาประวัติศาสตร์ของดินแดนที่เกิดข้อขัดแย้ง ไม่เคยรู้ว่าสมัยก่อนนั้นพื้นที่ตรงนี้เป็นรัฐอะไรมาก่อน

ต่อมาเมื่อรัฐบาลไทยได้ปกครอง ก็ไม่ย้อนศึกษาปัญหาว่ารัฐไทยตั้งแต่อดีตใช้การปราบปราม ใช้มาตรการเด็ดขาดจัดการคนที่ระแวงว่าจะเป็นพวกกระด้างกระเดื่องอย่างไร

“นั่นก็คือต้นตอที่นำมาสู่การก่อการร้ายเพื่อตอบโต้กับเจ้าหน้าที่รัฐ”

ทุกวันนี้ที่ยังรุนแรงอยู่ไม่สงบเสียทีก็คือปัญหาเดิมๆ ที่เคยเกิดมาหลายสิบปี ด้วยเพราะรัฐไทยแค่ปรับเปลี่ยนนโยบายบางอย่างให้ดูเหมือนก้าวหน้าขึ้น เข้าใจปัญหาขึ้น

แต่ถึงที่สุดก็ยังไม่ยอมรับว่าต้นเหตุคืออะไร และจะแก้ให้ถึงต้นตอปัญหาได้อย่างไร

ด้วยเพราะอคติทางการเมือง ด้วยมุมมองแบบชาตินิยมขวาจัด

“ยิ่งในยุครัฐบาลทหาร ก็ต้องมองยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการแก้ปัญหาในแบบทหารอย่างแน่นอน”

ปัญหาของชาติพันธุ์ คนต่างเชื้อชาติศาสนาในไทย

ถ้าคนส่วนใหญ่และโดยเฉพาะผู้กุมอำนาจรัฐ ยังมีอคติ มีอารมณ์ชาตินิยมสุดโต่ง

มีแต่จะสร้างปัญหาให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

“โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการใช้ความรุนแรงตอบโต้กับรัฐ ก็ยังมองไม่เห็นความสงบสุขว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด!”