บทวิเคราะห์ : หลังสภาถล่มหนัก งบกลาโหมมากกว่างบหมอ รถถังมาก่อนวัคซีน ได้เวลาปฏิรูปกองทัพ ?

บทความในประเทศ

 

สภาถล่มหนัก

งบกลาโหมมากกว่างบหมอ

รถถังมาก่อนวัคซีน

ได้เวลาปฏิรูปกองทัพ

 

นับตั้งแต่ไทยมีการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญ 2560 แม้จะได้ผู้นำรัฐบาลคนเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือประเทศมีฝ่ายค้านเข้ามาทำหน้าที่ กองทัพจัดว่าเป็นเป้าหมายใหญ่ในการรุมถล่ม ไม่ว่าจะเป็นในงวดศึกซักฟอกทั่วไป ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือจะเป็นการถกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วาระของกองทัพถูกหยิบขึ้นมาวิพากษ์ต่อเนื่อง

การจัดร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ก็ไม่รอด แม้ 2 ปีที่ผ่านมากองทัพจะพยายามถอย ผู้บัญชาการทหารบกแทบไม่พูดเรื่องการเมือง เก็บตัวนิ่ง ทำงาน ออกตรวจชายแดน พยายามตัดลดงบฯ ในสถานการณ์โควิค การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ด้วยงบฯ ผูกพันถูกเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง งบฯ สำนักงานโดนตัดกระจุย ก็ยังไม่วายถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก เรียกว่าติตรงไหนก็ถูก อย่างการอธิบายครั้งนี้ ฝ่ายค้านงัดข้อมูลตัวเลขมาเน้นๆ

การอธิบายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 วาระของกองทัพถูกนำเปิดประเด็นโดยสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มองว่าจัดงบฯ ให้กระทรวงกลาโหมมากเกินไป มากกว่ากระทรวงสาธารณสุขเกือบ 5 หมื่นล้าน

ตามต่อด้วยประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.โคราช เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า กระทรวงกลาโหมได้งบประมาณในปีงบประมาณ 2564 คิดเป็นร้อยละ 6.5 และในปี 2565 ได้งบประมาณคิดเป็นร้อยละ 6.6 ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหาโควิด กองทัพได้นำเงินไปจัดซื้อยุทโธปกรณ์ 3 เหล่าทัพ เป็นเงินจำนวนมากกว่า 8,274 ล้านบาท

ซึ่งยังไม่รวมงบฯ ผูกพันข้ามปีที่เกิดระหว่างปี 2565-2568 จำนวน 88,969 ล้าน รวมถึงการเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำ

 

ตอกย้ำปัญหาให้หนักแน่นเจ็บแสบ ด้วยวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปรียบรัฐบาลเป็นลูกทรพี พ่อ-แม่ตกงานลูกยังจะซื้อของเล่น

“ขนาดแค่การใช้เงิน รัฐบาลชุดนี้ยังไม่มีสามัญสำนึก จัดลำดับความสำคัญไม่เป็น ไม่รู้ว่าอะไรควรเร่งด่วน อะไรควรชะลอ อะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย ถ้าจำกันได้เมื่องบประมาณปีก่อน กว่าจะตัดงบฯ เรือดำน้ำได้ นี่ยากเย็นแสนสาหัส ยานเกราะล้อยาง สุดท้ายก็เอาจนได้ กางเกงใน ถุงเท้า ราคาแพงเป็น 3 เท่า ถามกันต่อหน้าว่าจะซื้อมาใส่ หรือจะซื้อมากิน ก็ยังดึงดันจะซื้อ สภาพของประเทศในทุกวันนี้ เปรียบเหมือนบ้านที่พ่อ-แม่มาล้มป่วย ตกงาน แต่ลูกทรพีก็ยังจะตื๊อซื้อของเล่นให้ได้” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ไม่ได้พูดเอามัน เขายังยกตัวอย่างกองทัพบก ปี 2564 งบฯ จัดหายุทโธปกรณ์ 3,132 ล้าน พอมาปี 2565 กลับงอกเพิ่มขึ้นมา 1,805 ล้านบาท เป็น 4,937 ล้านบาท กองทัพเรือ จากปี 2564 งบฯ 533 ล้าน ปี 2565 เพิ่มเป็น 873 ล้าน รวมกันแล้วเป็น 2,678 ล้าน

พร้อมเทียบให้เห็นภาพว่า เอาไปซื้อวัคซีน AstraZeneca จะได้ถึง 22 ล้านโดส

 

ขณะที่สภากำลังอภิปรายกันอย่างดุเดือด เมื่อถึงคิวจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.เพื่อไทย ก็พูดเชิญทีเล่นทีจริง เชิงตั้งคำถาม ได้ข่าวรถถังมาถึงไทยแล้ว มาเร็วกว่าวัคซีน? ทำเอาหลายคนไม่ทราบข่าวพากันตกใจ รถถังอะไรใครซื้อ

อะไรจะซวยเบอร์นั้น วันต่อมา พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ ต้องออกมายอมรับว่า ได้รับรถถังเบาสะเทินน้ำสะเทินบก Vn16 3 คัน ราคาเกือบ 400 ล้านจากประเทศจีน เป็นงบประมาณของปี 2563 สั่งซื้อไปตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เพิ่งมาส่งถึงไทย มีภาพขนขึ้นจากเรือว่อนอินเตอร์เน็ต

เรียกว่ามาได้ถูกจังหวะ กำลังถูกฝ่ายค้านกล่าวหาพอดี กองทัพก็ยังไม่ตั้งโต๊ะแถลงจริงจัง มีแค่ข้อมูลสเป๊กเล็กน้อยในเว็บไซต์สื่อมวลชน

อีกคนที่อภิปรายมีน้ำมีเนื้อที่สุดเกี่ยวกับงบฯ กระทรวงกลาโหม คือ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ตั้งคำถามว่าช่วงปี 2563 ช่วงโควิดระบาดรอบแรก กลาโหมถูกโอนออกมากสุดประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท แต่ปีนี้วิกฤตโควิดสาหัสกว่ามาก ทำไมปรับลดงบฯ ลงได้แค่ 1.1 หมื่นล้านบาท ทำเสนอให้เลื่อนโครงการประมาณ 70 โครงการ จะช่วยให้มีงบฯ เพื่อสวัสดิการประชาชนได้ราว 2.4 หมื่นล้าน

เขายังเปิดเผยข้อมูลว่ากองทัพเรือได้แอบไปเซ็นสัญญากับจีนเรียบร้อย และยังตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่จัดซื้อแบบชดเชย ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตในไทย รีบเซ็นเหมือนกลัวไม่ได้ซื้อ

ต่อด้วยสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี เสนอว่า “ควรตัดงบฯ ที่ไม่จำเป็น ไม่ใช่ภารกิจหลักของทหารออกไป เพราะภารกิจหลักของทหารคือป้องกันประเทศ ดังนั้น ภารกิจอื่นควรโอนไปให้พลเรือนดำเนินการ แม้แต่รายการปรับปรุงอาคารสถานที่ก็ควรตัดออกไป รวมทั้งการลดบุคลากรของกองทัพด้วย ในอนาคตประมาณ 10 ปี ถ้าบุคลากรหน่วยราชการไม่ลดลง จะต้องจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญจำนวน 8 แสนล้านบาทต่อปี และงบฯ ของกองทัพอะไรที่เริ่มใหม่ในงบฯ ปี 2565 ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ให้ตัดไป ช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งหมด”

ปิดท้ายของเพื่อไทย ด้วยยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.จอมแฉจากมหาสารคาม ออกมาเปิดตัวเลขว่างบประมาณปี 2565 กระทรวงกลาโหมมีงบลับรวมมากกว่า 470 ล้านบาท การจัดซื้อรถถังยานเกราะ เฮลิคอปเตอร์โจมตีของกองทัพบก รวมเฉียดหมื่นล้าน การจัดซื้อเรือยกพลขึ้นบก เรือดำน้ำ 2 ลำ รวมเฉียด 3 หมื่นล้าน ส่วนกองทัพอากาศมีซื้อเครื่องบินโจมตีเบา 4.5 พันล้าน ตั้งงบฯ ปฏิบัติการห้วงอวกาศ 1.47 พันล้าน นายยุทธพงษ์ทิ้งท้ายว่า

“อย่าเพิ่งไปเอาอากาศเลย เอา covid ให้รอดก่อน”

 

อีกส่วนหนึ่งที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักสำหรับงบประมาณกองทัพในปี 2565 คือเรื่องงบฯ บุคลากร เดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ เขียนข้อความทางเฟซบุ๊กแสดงความเห็นเรื่องงบฯ รายจ่ายบุคลากรกระทรวงกลาโหมบาน เพิ่มขึ้นจาก 103,293.6 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2564 ขึ้นเป็น 105,034 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2565 หรือเพิ่มขึ้น 1,741 ล้านบาท คือเพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน ในขณะที่งบประมาณทั้งหมดของประเทศปรับลดลงถึง 5.7% เรียกว่าสวนทางกับงบประมาณทั้งประเทศ

เดชรัตมองว่า เรื่องนี้มีผลเสียต่อกระทรวงกลาโหม เพราะงบฯ บุคลากรมีสัดส่วน 51.7 เปอร์เซ็นต์ของงบฯ ปี 2565 แทนที่จะไปอุดหนุนเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เงินกลับหมดไปกับงบฯ บุคลากร การเพิ่มของอัตรากำลังพลสวนทางกับภาพรวมของโลก

เช่นเดียวกับ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการรัฐศาสตร์ ที่มองว่าผู้นำเหล่าทัพจะออกมาชี้แจงความพยายามลดงบฯ กลาโหมแล้ว แต่การลดลงร้อยละ 5 ก็ไม่ได้มากอะไร จึงไม่แปลกที่กองทัพจะถูกวิจารณ์ ประชาชนไม่ได้คล้อยไปตามตัวเลขภาพรวม เพราะวิกฤตความมั่นคงด้านสาธารณสุขตอนนี้หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าความมั่นคงทางการทหาร

การที่คนในโลกออนไลน์โพสต์กันว่า “รถถังมาเร็วกว่าวัคซีน” สะท้อนความรู้สึกคนส่วนใหญ่ในสังคมดี

 

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม พยายามใช้เวทีสภาชี้แจง ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันว่างบฯ ที่ตั้งไว้ไม่มาก ได้ทำการปรับลดไปแล้ว อะไรที่เป็นงบฯ ผูกพันก็ต้องดำเนินต่อ ส่วนที่บอกว่างบฯ กลาโหมมากกว่าสาธารณสุขนั้นไม่จริง กลาโหมก็คือกลาโหม กระทรวงสาธารณสุขยังมีส่วนหน่วยงานนอกงบฯ อื่นอีก ส่วนเรื่องบุคลากรก็จำเป็น จะมีใครนอกจากทหารที่สามารถเรียกมาใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรื่องการปรับลดกำลังพลก็กำลังทำอยู่

เรื่องเรือดำน้ำ บิ๊กตู่ยืนยันว่าต้องซื้อให้ครบ 3 ลำ เพราะจะซื้อเรือดำน้ำลำเดียว เป็นไปไม่ได้ เราต้องเตรียมพร้อมในสถานการณ์ทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย ก่อนปิดท้ายด้วยวันนี้ยังไม่มีการทุจริตต่างๆ ในรัฐบาลผม สรุปก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังคงวนอยู่กับวาทกรรมเดิมที่เคยใช้ชี้แจงในครั้งก่อนๆ

เป็นอีกปีที่กองทัพถูกขย่มอย่างหนัก เสียงเรียกร้องของการปฏิรูปกองทัพดังชัด ขณะที่การตอบสนองเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ใช่แค่คนไทยที่มองเห็นเรื่องนี้เป็นปัญหา หากยังจำข่าวของสำนักข่าวนิเคอิประเทศญี่ปุ่น เขียนบทความเรื่อง “ประเทศไทย ดินแดนแห่งนายพลนับพัน” พบว่าประเทศไทยมีทหารชั้นนายพลมากกว่าสหรัฐหลายเท่า ทั้งที่มีขนาดกองทัพเล็กกว่าสหรัฐหลายเท่า

นี่ก็เป็นคำตอบชัดเจนแล้วในตัวว่ากองทัพไทยมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ แล้วจะต้องทำยังไงต่อ