ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ครัวอยู่ที่ใจ |
เผยแพร่ |
ทางรอดอยู่ในครัว
: ไว้คราวหน้านะ
ฉันชอบกินปลาช่อน แต่ส่วนใหญ่ฉันไม่กินหัว นอกเสียจากเอามาทำน้ำขนมจีน ฉันถึงจะต้มทั้งตัว แล้วแกะเนื้อข้างแก้มของมันมาตำ
แกงส้มปลาช่อน ปลาช่อนผัดขึ้นฉ่าย หรือเมนูอื่นใด ฉันให้แม่ค้าเก็บหัวปลาช่อนไว้ ฉันไม่ชอบทำหัวปลาช่อน เพราะบางครั้งมันทำให้ฉันคิดถึงงู
แต่ใครบางคนก็ชอบหัวปลาช่อนเสียเหลือเกิน แถมยังชอบเมนูที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร อันที่จริง มันเป็นเมนูที่เกิดจากความขัดสน อืม…สำหรับฉัน ก็แค่พอกินได้ แต่โจชอบมันเอาจริง
ไม่ได้เจอกันหลายปี เขายังจะกินปลาช่อนทอดราดแกงแดงแห้งๆ นั่น
“เมื่อไรได้กินครับ” เขาโวยวาย
โจยังงอแงเหมือนเดิม พูดด้วยน้ำเสียงเดิม ขอกินเมนูเดิม ฉันรู้สึกคล้ายกับว่าเวลาไม่มีความหมายสำหรับเราเลย
“กินข้าวเปล่าก่อน หรือไม่ก็ไข่เจียว”
เขาหัวเราะ “พี่ใจร้าย หรือฝีมือตก สารภาพมา”
ฉันจิกตา “จะกินมั้ย ปลาเนียะ”
“กินคร้าบพี่ กินสิ มาเพื่อจานนี้เลย”
“งั้นต้องเข้าใจว่า ปลาทอดใช้เวลา แล้วบังเอิญเธอชอบแบบกรอบๆ ด้วย”
ยิ้มหวาน “จำเก่ง…พี่จำได้ด้วยใช่มั้ย ผมชอบหัวปลา”
ต้องจำได้อยู่แล้ว จะมีสักกี่คนที่กินแต่หัวปลา
ฉันชี้หัวปลาในกระทะ “ยกให้ทั้งหัวเลยครับ ไม่แย่ง”
ฉันกับโจ และเพื่อนๆ อีกหลายคน เคยเดินขึ้นเขาด้วยกัน ทริปยาว จำนวนคนมาก ทำให้เราคำนวณอาหารผิด พอเรารู้ว่าเสบียงน่าจะไม่พอ เราก็ประหยัดวัตถุดิบ แต่ถึงอย่างนั้น มื้อสุดท้ายก่อนลงเขา เราเหลือแต่กะทิกระป๋อง น้ำพริกแกงเผ็ด และข้าวสาร
เราจะกินหนึ่งมื้อ แล้วเดินลงเขา ถ้าไม่ได้ปลาจากแหที่วางไว้ ฉันคิดจะทำข้าวผัดใส่เครื่องแกงกับกะทิ
โชคดีที่ได้ปลาตัวเล็กตัวน้อยจากลำธาร เรายังเหลือน้ำมัน เอาปลามาทอด ผัดเครื่องแกงกับกะทิราดบนปลา แล้วหุงข้าวหม้อสนามสองหม้อ
เป็นมื้อก่อนลงเขาที่ช่วยให้เรามีแรงเดินทั้งวัน ฉันจำได้ กว่าจะได้กินอีกมื้อก็เกือบสองทุ่ม ฉันหิวมาก แต่กินอะไรไม่ค่อยลง
ปลาทอดราดพริกแกงผัดกะทิ กลายเป็นเมนูที่โจร้องขอทุกครั้งที่เจอฉัน ทำง่ายแสนง่าย แค่เปลืองน้ำมันนิดหน่อย
วันนี้ฉันใช้ปลาช่อนที่โจซื้อมา แม่ค้าหั่นเป็นชิ้นให้เรียบร้อย ฉันเทน้ำมันลงกระทะให้ท่วมปลา สำคัญมากที่ต้องเอาปลาลงกระทะตอนน้ำมันร้อนจัด ทั้งปริมาณน้ำมันต้องมากพอ ไม่อย่างนั้นปลาจะติดกระทะ กินได้แต่ไม่สวยงาม
ฉันอยากให้ปลาสวย ไหนๆ โจก็ตั้งใจมากินเมนูนี้ “จะเสร็จแล้ว” ฉันตะโกน
ต้องเสียงดังหน่อย เพราะเราต่างใส่หน้ากากตลอดเวลา และรักษาระยะห่าง
โจเดินไปเลือกจานเอง จานดินรูปใบไม้ใบเล็กๆ ไว้ใส่กับข้าว และจานดินอีกใบสำหรับข้าว เราจะกินอาหารชนิดเดียวกัน แต่แยกกันกิน
ต้องอย่างนั้นถึงจะสบายใจ เราไม่ได้เจอกันนาน และโจเดินทางไปมาหลายจังหวัด
ปลากรอบดีแล้ว ฉันตักขึ้นมาพักในกระชอน
ตั้งกระทะอีกใบ เปิดไฟอ่อน เทกะทิลงไป หันไปบอกเขา “เป็นครั้งแรกในหลายปีที่พี่ใช้กะทิกระป๋อง”
ฉันใช้เพราะเขาซื้อมา เขาหอบหิ้วมาทั้งหมด ปลา น้ำพริกแกง และกะทิ
“ผมรู้ว่าพี่ชอบคั้นกะทิเอง ขูดมะพร้าวเก่งอีกต่างหาก แต่ผมอยากกินเหมือนวันนั้น ซึ่งเราใช้กะทิกระป๋องกับน้ำพริกแกงสำเร็จรูปแบบนี้”
บ้าบอจริง คนอะไร ฝังใจกับอาหารเพียงนี้
เขาหัวเราะ “เอาเถอะ ผมอนุญาตให้พี่ปรุงรสได้”
“อนุญาตหรือไม่ ก็จะปรุง นี่มันครัวของพี่” ฉันเสียงแข็ง
เคี่ยวกะทิจนร้อน และเริ่มแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงลงไป เคี่ยวต่อให้หอม ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี ตัดน้ำตาลนิดหน่อย
เอาเครื่องแกงราดลงบนปลาทอด แค่นี้ก็พร้อมให้โจกิน
“โรยใบมะกรูดด้วยนะ เตรียมไว้แล้ว ไม่ต้องเหมือนวันนั้นมากก็ได้” ฉันว่า
“อันที่จริง…” ยิ้มมุมปาก “แค่แม่ครัวคนเดิมก็พอ”
ปากดีนัก ถ้าตามใจแม่ครัวจริงๆ ละก็ พริกแกงควรตำเอง และฉันจะคั้นหัวกะทิสด มันต้องอร่อยกว่านี้สิ
โจจัดปลาใส่จาน ตักน้ำแกงราด ตักข้าว แล้วไปนั่งกินที่ระเบียงบ้าน
“จานเล็กไปหน่อย มาตักเพิ่มนะ มีเยอะแยะ” ฉันบอกเขา
ฉันเพิ่งกินมื้อกลางวันไปไม่ถึงชั่วโมง อยากเก็บครัวให้เรียบร้อยก่อน
“ผมแค่อยากกิน ไม่ได้หิว” เขาว่า “แต่พอกิน มันก็อร่อย อร่อยจริงๆ นะพี่”
“ไว้วันหลังมากินอย่างอื่นนะ พี่ไม่ได้ทำเป็นแต่ปลาทอดราดเครื่องแกง”
โจเดินมาตักจานที่สอง “ไม่ทันแล้วล่ะ ผมกลับพรุ่งนี้” ทำท่าคิด “เป็นคราวหน้านะ สัญญาจะยกหัวปลาให้พี่”
ฉันหัวเราะ สามหรือสี่ปีก่อนโจก็พูดแบบนี้ -คราวหน้านะพี่
คราวหน้าของโจน่ะ อาจหมายถึงสิบปีข้างหน้าก็เป็นได้