เวลาที่งอกเงย กับ Move to Heaven : ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

ผมใช้ชีวิตอยู่กับบ้านเป็นหลักมาตั้งแต่ช่วงวันหยุดสงกรานต์ของปีนี้แล้ว

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาถึงแม้จะมีการบรรยายหรือการประชุมอยู่บ้าง แต่ก็เป็นการทำงานในระบบออนไลน์เสียเป็นส่วนใหญ่

เมื่อไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทางวันละ 2 ชั่วโมงสำหรับออกจากบ้านไปประชุมหรือไปสอนหนังสือ

แถมการประชุมออนไลน์ก็ไม่ยืดยาดเสียด้วย เพราะทุกคนต้องเข้าประชุมตรงเวลา จะพูดเยิ่นเย้อก็ไม่เมามันเหมือนเวลาอยู่กันต่อหน้า

ชีวิตประจำวันผมในแต่ละวันจึงได้เวลางอกขึ้นมาเป็นอดิเรกลาภมากพอสมควร

เกิดปัญหาโลกแตกขึ้นเลยทีเดียวครับว่าจะทำอย่างไรกับเวลาที่งอกเงยขึ้นมานี้

 

ผมได้ทดลองมาแล้วหลายอย่าง เป็นต้นว่า เขียนหนังสือเกี่ยวกับการประชุมเป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์ติดต่อกัน

นี่ก็ได้หนังสือมาหนึ่งเล่ม เวลานี้กำลังอยู่ในโรงพิมพ์ ต้นเดือนกรกฎาคมนี้คงคลอดออกมาให้ได้เห็นหน้าตากัน

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำแล้วได้ผลดีมากคือการรื้อเสื้อผ้าที่มีมากเกินใช้งาน

เสื้อผ้าของผมนอกจากอยู่ในตู้แล้วยังลุกลามไปอยู่ตามราวแขวนที่อยู่นอกตู้ด้วย

ทั้งหมดนี้มาจากสาเหตุเพียงข้อเดียวคือการหลอกลวงตัวเองว่า สักวันหนึ่งเราจะตัวผอมกลับไปเท่าเดิม

หลอกตัวเองมาหลายสิบปีแล้ว คราวนี้ได้ฤกษ์ที่จะยอมรับความจริงเสียที ได้เสื้อผ้าสารพัดชนิดที่ตกรอบและต้องย้ายไปอยู่ในกล่องเพื่อเตรียมแจกจ่ายต่อไปจำนวนมากถึงสี่กล่องใหญ่ ห้องโล่งไปถนัดตาเลยทีเดียวครับ

หนังสือเล่มใหญ่น้อยที่เพ่นพ่านอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ในบ้านก็จับขึ้นชั้นหนังสือเสียให้เป็นระเบียบ เข้าทำนองที่ว่า หายก็รู้ดูก็งามตา

(ซึ่งไม่จริง เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหนังสือหายไปแล้วหรือยังอยู่ในบ้านของเรา ฮา!)

 

เวลาบ่าย หลังจากเดินวนไปวนมาในบ้าน เล่นกับหมาก็แล้ว ชมนกชมไม้ก็แล้ว ชื่นชมการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเรื่องวัคซีนจนอิ่มอกอิ่มใจก็แล้ว จะมีอะไรดีไปกว่าการหาหนังใน Netflix ดูได้อีกเล่า

สองวันที่ผ่านมาดูหนังชุดของเกาหลีเรื่อง Move to Heaven ความยาวสิบตอน แต่ละตอนยาวเกือบหนึ่งชั่วโมง ดูครบจบทุกตอนภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง ขอแสดงความนับถือตัวเองจริงๆ

หนังเรื่องที่ว่าต้องชมคนผูกโครงเรื่องจริงๆ ว่าช่างคิดช่างทำ ในขณะที่มีโครงเรื่องหลักว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเด็กพิเศษคนหนึ่งกับอา ผู้เป็นน้องของพ่อเด็กที่ตายอย่างกะทันหัน ทำให้อาที่เพิ่งพ้นโทษออกจากคุกต้องตกอยู่ในฐานะผู้ปกครองโดยไม่เคยคาดฝันมาก่อน

ครอบครัวนี้มีอาชีพการงานเป็นผู้รับจ้างเก็บของที่หลงเหลืออยู่ของผู้ตาย รวมทั้งทำความสะอาดเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุหรือบ้านของผู้ตายด้วย แค่นี้ก็ยุ่งพอตัวแล้วใช่ไหมครับ

หนังเรื่องนี้ยังมีโครงเรื่องปลีกย่อยที่แทรกเข้ามาในแต่ละตอน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ตายแต่ละคน ต่างวัยต่างฐานะ ต่างความเป็นมาและต่างสาเหตุที่ตายด้วย

หนังมีสิบตอน ผมร้องไห้ไปสามรอบ

ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็ดีใจว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่ ยังรู้สึกรู้สากับเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่คนใจทมิฬหินชาติ

นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินด้วยความสนุกสนานแล้ว สิ่งที่ได้มาอีกอย่างหนึ่งคือความแน่ใจว่า สำหรับคนที่เรารักแล้ว แม้ความตายทำให้เราไม่มีโอกาสได้พบกันแบบตัวเป็นๆ ได้อีกต่อไป แต่คนที่เรารักก็ยังไม่หายไปข้างไหน

ยังอยู่ในหัวใจของเราทุกวันคืน

เคยมีใครนึกเหมือนผมบ้างไหม เวลาไปกินข้าวร้านอร่อยสักร้านหนึ่งที่เว้นวรรคไม่ได้ไปกินมานานหลายเดือน ชั่วขณะหนึ่งที่ผมกินข้าวอยู่นั้น นึกพลุ่งขึ้นมาในใจว่า เมื่อนานปีมาแล้วเคยมากินอาหารร้านนี้กับพ่อและแม่ แม่ชอบเมนูนั้น พ่อชอบเมนูนี้เป็นพิเศษ เรากินเสร็จแล้วสั่งใส่ห่อใส่ถุงกลับบ้านเสียหน่อยจะเป็นไรไป พรุ่งนี้พระก็มารับบิณฑบาตหน้าบ้าน

กราบขอความเมตตาท่านเป็นบุรุษไปรษณีย์ ท่านคงไม่ขัดข้อง

และอย่าว่าแต่เรื่องของกินเลยครับ เรื่อยไปจนถึงเรื่องอื่นๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว หรืองานบุญงานกุศล ความประหวัดถึงพ่อ-แม่หรือผู้ที่เรารักในแง่มุมเช่นนี้ย่อมติดตามเราไปได้เสมอ

ในมุมกลับกัน พูดให้โก้หรูอาจบอกว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่เป็นอมตะ ก็ต้องทำตัวให้อยู่ในฐานะที่เป็นที่รักของคนทั้งหลาย เวลามีชีวิตอยู่ก็ทำตัวให้มีประโยชน์ มีความทรงจำที่ไปอยู่ในหัวใจของเขาด้วยความรักใคร่ชื่นชม ไม่ใช่คิดถึงด้วยความเกลียดชัง

พูดให้กว้างไกลไปกว่านั้น สำหรับคนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนในครอบครัวหรือไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายของเรา ผมเองก็ยังมีความทรงจำที่งดงามเกี่ยวกับใครอีกหลายคน

บางรายแม้ผมไม่มีโอกาสได้รู้จักกับตัวตนของท่าน แต่เพียงได้รู้จักกับผลงานของท่านที่ฝากไว้ในโลกนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกนิยมชมชอบท่านอยู่ในใจ

ลองยกตัวอย่างสักคนหนึ่งไหมครับ

 

ผมนึกถึง ม.ล.ปิ่น มาลากุล นักการศึกษาคนสำคัญของเมืองไทย

ในเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ ผมไม่ได้เคยพบตัวจริงของท่านเลย จะเป็นเพราะความด้อยวาสนาของผมอย่างไรก็ไม่รู้ได้ แต่ผมก็คุ้นกับชื่อและผลงานของท่านมาตั้งแต่เป็นเด็ก เพราะเด็กนักเรียนชั้นประถมสมัยผมต้องท่องชื่อรัฐมนตรีให้ได้ทุกคนนะครับ ม.ล.ปิ่น มาลากุล นี่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชื่อท่านจำง่ายครับ ท่องแป๊บเดียวก็จำได้แล้ว

ที่น่ากลัวที่สุดคือ พล.อ.ท.มุนี มหาสันทนะ เวชยันตรังสฤษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชื่อยาวเฟื้อยเป็นรถไฟสามโบกี้ขนาดนี้ใครจะไปจำได้ง่ายๆ เล่า

โชคดีนะครับที่รัฐมนตรีสมัยก่อนนั้นนานจึงจะเปลี่ยนกันสักทีหนึ่ง สมัยนี้เปลี่ยนกันบ่อยจนไม่ต้องบังคับให้เด็กท่องชื่อแล้ว เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์โภชผลอะไร

กลับมาพูดถึงหม่อมหลวงปิ่นกันต่อครับ

 

โตขึ้นมาผมได้ไปเรียนหนังสืออยู่ในสถานศึกษาที่ ม.ล.ปิ่นเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งให้เป็นโรงเรียนขึ้นมา นั่นคือโรงเรียนสาธิตปทุมวัน จึงต้องนับว่าตัวเองอยู่ใกล้ชิดกับผลงานของท่านเข้าไปอีกหน่อยแล้ว

เวลาเดียวกันบ้านของผมอยู่สุขุมวิทซอย 40 ปากซอยหน้าบ้านเป็นที่ตั้งของท้องฟ้าจำลอง ซึ่งเด็กวัยผมได้อาศัยเรียนรู้เรื่องดาราศาสตร์อยู่เสมอ ชื่อ “ท้องฟ้าจำลอง” ท่านก็เป็นคนตั้ง

อีกหลายสิบปีต่อมา ผมมารับหน้าที่เลขาธิการสภาการศึกษา ยิ่งเป็นโอกาสได้เรียนรู้และรับทราบว่าผลงานของท่านในเรื่องนโยบายการศึกษานี้มีอีกมาก หลายเรื่องยังเป็นหลักการที่ไม่พ้นสมัย และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้แม้ในปัจจุบัน

เวลานี้ผมทำหน้าที่เป็นกรรมการมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ มีที่ทำการมูลนิธิอยู่ที่หอวชิราวุธ ภายในบริเวณหอสมุดแห่งชาติ ถนนสามเสน อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติในคราวพระบรมราชสมภพพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นครบ 100 ปี โดยมี ม.ล.ปิ่นผู้เป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมเป็นกำลังสำคัญ

ผมจับใจเป็นที่สุดที่ทราบว่า ขณะก่อสร้างอยู่นั้นงบประมาณขาดแคลน ม.ล.ปิ่นได้ขายที่ดินที่เป็นสมบัติส่วนตัวของท่านเพื่อนำมาสมทบการก่อสร้างให้แล้วเสร็จงดงามสมพระเกียรติยศ

ผมยังเคยพูดทีเล่นทีจริงเลยว่า ถ้าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดมีมหาดเล็กข้าหลวงเดิมได้อย่างนี้แม้เพียงคนเดียว ก็คุ้มแสนคุ้มแล้ว

 

ชีวิตส่วนตัวของท่านไม่มีบุตร-ธิดาสืบตระกูล แต่มีหลานชายผู้เป็นลูกของน้องสาวของท่านคนหนึ่งที่ท่านอุปถัมภ์ค้ำชูด้วยความใกล้ชิด

หลานของ ม.ล.ปิ่นผู้นี้ คือพี่จุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด ผู้เป็นรุ่นที่นิติศาสตร์ จุฬาฯ ที่ผมคุ้นเคยมากที่สุดนั่นเอง

ผมไม่เคยได้ยินว่าท่านเคยไปคิดร้ายกลั่นแกล้งรังแกใครไว้ที่ไหน การปฏิบัติตนทุกอย่างเป็นไปตามทำนองคลองธรรม งานของท่านล้วนเป็นงานที่เกิดประโยชน์ยั่งยืน ไม่ได้คิดหาคะแนนเสียงกับใคร

ผลงานที่ท่านฝากไว้จึงเป็นเรื่องที่กราบไหว้ได้สนิทมือ แม้ท่านถึงแก่อสัญกรรมไปช้านานแล้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้ที่โรงเรียนสาธิตปทุมวันได้ยังตั้งชื่ออาคารหลังหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงผลงานของท่านว่า อาคาร ม.ล.ปิ่น มาลากุล เพิ่งมีพิธีเปิดป้ายชื่อกันไปหยกๆ นี่เอง

การตั้งชื่ออาคารเป็นอนุสรณ์ถึงบุคคลที่เสียชีวิตไปหลายสิบปีอย่างนี้ ไม่มีผลในทางความดีความชอบเป็นแน่ เพราะท่านไม่อยู่ให้ใครประจบประแจงได้อีกต่อไปแล้ว

ผมว่าบุคลากรคุณภาพอย่าง ม.ล.ปิ่นนี้ Move to Heven แน่นอน

 

เรื่องนี้ก็เป็นคติสอนให้รู้ว่า คนที่มาทำหน้าที่เป็นผู้บริหารประเทศ ไม่ว่ายุคใดสมัยใดถ้าทำได้อย่าง ม.ล.ปิ่นแล้ว ย่อมเชื่อได้ว่าแม้สิ้นชีวิตไปแล้วจะมีคนระลึกนึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่สร้างไว้เป็นคุณประโยชน์กับบ้านเมือง

แต่ถ้าใครทำสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ได้ข่าวว่าหนังเกาหลีที่ยังไม่ได้สร้างแต่คิดชื่อไว้แล้วว่า Move to Hell กำลังขาดนักแสดงนำ

รีบติดต่อด่วนเลย ฮา!