ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]
‘Evoque Lafayette Edition’
‘เรนจ์โรเวอร์’ รุ่นพิเศษแค่ 3 คัน
เปิดตัวทางออนไลน์อย่างเป็นทางการแล้ กับยอดรถตัวลุย “Range Rover Evoque Lafayette Edition” (เรนจ์ โรเวอร์ อีโวค ลาฟาแยตต์ อิดิชั่น) แบบปลั๊กอินไฮบริด
ถือเป็นหนึ่งใน 3 รุ่นย่อยของเรนจ์ โรเวอร์ อีโวค
โดยที่เหลือคือ Range Rover Evoque Plug-In Hybrid SE Plus และ Range Rover Evoque Plug-In Hybrid R-Dynamic SE Plus
ทั้ง 3 รุ่นมีความใกล้เคียงกัน แตกต่างที่การตกแต่งและระบบตัวช่วยอื่นๆ
ฉบับนี้จะพาไปรู้จักกับรุ่นแต่งพิเศษ “Range Rover Evoque Lafayette Edition” ซึ่งนำเข้าโดยบริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการ
ในประเทศไทยได้โควต้ามาเพียง 3 คันเท่านั้น
Range Rover Evoque เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 2012 สร้างกระแสได้ทั่วโลก เพราะได้ทั้งความหรูหราและลุยไปพร้อมๆ กัน
การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากย่านที่ทันสมัยในนิวยอร์กซิตี้
ดูรูปร่างหน้าตากันก่อน มองผาดๆ ไม่ต่างจากรุ่นย่อยอื่นๆ จะเด่นขึ้นมาเป็นกระจังหน้าที่ใช้สีเงิน หลังคาคอนทราสต์ สี Nolita Grey ส่วนขอบประตูใช้สีดำเปียโนแบล็ก
เล่นเส้นสายด้านข้างดูกลมกลืนกับภาพรวม
มือจับเปิดประตูแบบฝังแนบกับประตู เมื่อปลดล็อกจะยื่นออกมาอัตโนมัติ และกลับเข้าตำแหน่งที่ราบเรียบกับประตูเมื่อเข้าไปในรถแล้ว ดูแล้วไฮโซขึ้นไปอีก
ด้านหลังออกแบบเรียบๆ ไฟดวงเล็กแต่สว่างแสบตา
ล้อขนาดใหญ่ 20 นิ้ว เสาอากาศแบบครีบฉลาม
ภายในใช้สีเทาตัดกับลายไม้บางจุด ตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียมบุลายสไตล์ Diamond Cut
มี Tread Plates แบบเรืองแสง ที่ด้านล่างของขอบประตูด้านใน พร้อมอักษร “Range Rover”
พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น
หน้าจอแบบดิจิตอล ปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ พร้อมมีจอที่บอกทางแบบเนวิเกเตอร์ขนาดเล็กๆ โชว์ไว้ด้วยจะได้ไม่ต้องเหลือบไปมองจอตรงกลาง
ส่วนจอตรงกลางเป็น Pivi Pro duo ขนาด 10 นิ้ว 2 จอ จอแรกอยู่กลางคอนโซลหน้าใช้เป็นจอควบคุมเนวิเกเตอร์ จอแสดงภาพรอบคัน เทคโนโลยีความบันเทิง เชื่อมต่อ Apple CarPlay, Android Auto
ต่ำลงมาเป็นจอควบคุมต่างๆ เช่น ระบบแอร์ เป็นต้น
แผงเกียร์ติดตั้งลายไม้วอลนัท ส่วนคันเกียร์มีขนาดเล็กพอเหมาะมือ
เพดานเป็น Fixed Panoramic Roof ขนาดใหญ่
ขุมพลังลูกผสมปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เครื่องยนต์เบนซิน Ingenium แบบ 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้า 109 แรงม้า
ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 15 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ใต้เบาะหลัง
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดใหม่ พร้อมระบบแมนวล เพียงผลักคันเกียร์ไปด้านซ้าย สามารถเพิ่ม-ลดตำแหน่งเกียร์ได้ตามใจชอบ แน่นอนว่าเป็นที่ชื่นชอบของคนที่ชอบเล่นกับเกียร์ เช่นการเชนจ์เพื่อเพิ่มกำลังหรือช่วยเบรก
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 6.4 วินาที
ส่วนระบบไฟฟ้าชาร์จเต็มวิ่งได้พิสัยไกลสุด 55 กิโลเมตร
การชาร์จไฟฟ้าจาก 0-80 เปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียง 30 นาที เมื่อชาร์จไฟฟ้าจากสถานีชาร์จทั่วไปที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง 32 กิโลวัตต์ หรือใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 24 นาที เมื่อใช้ตู้ชาร์จติดผนังที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ 7 กิโลวัตต์
สามารถชาร์จได้ด้วยเครื่องชาร์จแบบเร็วที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง 50 กิโลวัตต์ และ 100 กิโลวัตต์
มี 3 โหมดการขับขี่ ประกอบด้วย
โหมดไฮบริด รวมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินโดยอัตโนมัติ
โหมด EV ช่วยให้รถทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวโดยใช้พลังงานที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่
โหมดประหยัด จัดลำดับความสำคัญของเครื่องยนต์สันดาปให้เป็นแหล่งพลังงานหลักโดยรักษาสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เลือก
Range Rover Evoque Lafayette Edition ราคา 4,199,000 บาท
ปิดท้ายกันที่รถรุ่นพิเศษอีกรุ่น “ซูซูกิ เซียส” จริงๆ ไม่ถึงกับเป็นรุ่นใหม่ เพียงแต่ซูซูกิจัดหนักเพิ่มออปชั่นพิเศษอีกหลายอย่าง
และที่ใจสุดๆ คือไม่เพิ่มราคาด้วย
มาภายใต้แนวคิด “ฉีกกฎความคุ้มค่า สบายกว่า…อย่างมีสไตล์”
รูปร่างหน้าตาและการตกแต่งภายในเอาแบบคร่าวๆ เพราะไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมาก กระจังหน้าเป็นเอกลักษณ์กลมกลืนกับไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์ LED ปรับระดับสูง-ต่ำได้ พร้อมไฟหรี่แบบ LED และไฟตัดหมอกคู่หน้า
ชุดแต่งรอบคัน สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟท้ายดีไซน์โดดเด่น
ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
คอนโซลหน้าออกแบบมาเพื่อเพิ่มมิติความกว้างของห้องโดยสาร มาตรวัดสไตล์สปอร์ต พวงมาลัยปรับระดับสูง-ต่ำได้พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และสั่งการทางโทรศัพท์
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศบริเวณที่นั่งผู้โดยสารแถวหลัง
โดยออปชั่นที่เพิ่มเข้ามาเดิมติดตั้งเฉพาะตัวท็อป RS CVT เพียงรุ่นเดียว แต่ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ตัดสินใจใส่ไว้ในทุกรุ่นย่อย
ประกอบด้วยระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ให้มีความครบครัน ด้วยหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับทุกการเชื่อมต่อเครื่องเล่นวิทยุ MP3 และ WMA พร้อมระบบ Smart Phone ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay, Android Auto
เชื่อมต่อ Bluetooth ช่วยให้เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเข้ากับรถเพื่อรับสายแบบแฮนด์ฟรี ช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI
กล้องมองหลัง เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการถอยจอด
ราคาจำหน่ายเท่าเดิม เกียร์ธรรมดา ราคา 523,000 บาท
รุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT เริ่มต้นที่ 559,000-675,000 บาท