ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
Where Do We Go From Here?
การตั้งคำถามถึงทางรอดจากวิกฤต
ในยุคสมัยแห่งทุนนิยม
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เราได้ไปชมนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจมา
เลยถือโอกาสเอามาเล่าสู่ให้อ่านกันตามเคย
นิทรรศการนั้นมีชื่อว่า Where Do We Go From Here?
โดย ปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์ ศิลปินผู้ทำงานด้วยสื่อหลากหลายลักษณะอย่างวิดีโอ ภาพถ่าย หรือศิลปะจัดวาง

โดยแสดงออกในรูปแบบของสารคดีที่ตั้งคำถามถึงความเป็นไปและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกที่ส่งผลกระทบถึงชีวิตของผู้คน
เธอไม่เพียงใช้สิ่งเหล่านี้ในการบันทึกจัดเก็บข้อมูลเท่านั้น หากแต่ยังพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของโลกผ่านเสียงของผู้คนธรรมดาสามัญที่ถูกละเลยและมองข้ามไป https://bit.ly/2R4prVV

ในนิทรรศการ Where Do We Go From Here? ปิยะรัศมิ์ตั้งคำถามเกี่ยวกับยุคสมัยที่โลกประสบกับภาวะวิกฤต
ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดร้ายแรง ความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อมโลก และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลจากอำนาจของทุนนิยม
ในขณะที่พัฒนาการทางเทคโนโลยีและการเชื่อมโยงผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสารอันไร้พรมแดนได้เปิดทางไปสู่โฉมหน้าอันหลากหลายของตลาดเสรี

แต่ในขณะเดียวกันก็นำพาโลกไปสู่ความล่มสลายอย่างช้าๆ
ถึงแม้มนุษยชาติจะพยายามเสาะแสวงหาหนทางรอดจากวิกฤตนี้
แต่ในทางกลับกันก็ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า เราหลงลืมและละทิ้งใครและสิ่งใดไว้เบื้องหลังขบวนรถไฟที่กำลังแล่นฝ่าจากวิกฤตครั้งนี้หรือไม่?
ปิยะรัศมิ์หยิบยืมชื่อของนิทรรศการครั้งนี้มาจากนิทรรศการแสดงเดี่ยวของเธอในปี 2013 อย่าง Where Do We Go From Here : Chaos or Community? ที่ตรวจสอบโครงสร้างการผลิตของระบบทุนนิยมซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนในขอบเขตพื้นถิ่น

รวมถึงต่อยอดความคิดจากนิทรรศการ Where Echoes Never End ของเธอในปี 2020 ที่ร้อยเรียงภาพวิดีโอฟุตเตจที่เธอบันทึกในการทำงานนับร้อยชิ้นในช่วงระยะเวลาสิบปีของการทำงานเข้าด้วยกัน
รวมเข้ากับภาพถ่ายจากเหตุการณ์ต่างๆ จากความสนใจส่วนตัวของเธอต่อมิติอันหลากหลายของเสียงในสังคม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุ้มเสียงของแรงงานชายขอบผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบทุนนิยม แต่กลับถูกสังคมละเลยและมองข้ามไป

ในนิทรรศการครั้งนี้ปิยะรัศมิ์ขยับขยายขอบเขตการวิเคราะห์จากขอบเขตพื้นถิ่นไปสู่พื้นที่สากล ด้วยผลงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ ทั้งงานภาพเคลื่อนไหว, ภาพถ่าย, จิตรกรรม, ภาพวาดลายเส้น และภาพพิมพ์โลหะ
แต่ด้วยข้อจำกัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ปิยะรัศมิ์ไม่สามารถเดินทางลงพื้นที่เพื่อสำรวจและถ่ายทำสารคดีดังเช่นที่ผ่านมาได้ เธอจึงทำการรวบรวมฟุตเตจต่างๆ หลากหลายที่เธอค้นพบในการท่องอินเตอร์เน็ต

จากเรื่องเห็ดราและอวัยวะภายในของมนุษย์ ไปจนถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลกจากการบริโภคอันล้นเกินของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและผลกระทบของมัน
จากเรื่องค่ายกักกันในจีนและอเมริกา กับการใช้แรงงานเด็กในเหมืองแร่ไมก้าในอินเดีย
อุตสาหกรรมชายฝั่ง ไปจนถึงเครื่องสำอางและสินค้าบริโภคนิยมที่เป็นเหมือนตัวแทนค่านิยมทางวัฒนธรรมมนุษย์
ผสานไปกับเรื่องเล่าส่วนตัวและวิดีโอที่ศิลปินถ่ายทำขึ้นใหม่ในพื้นที่ส่วนตัว

ปิยะรัศมิ์กล่าวถึงที่มาของนิทรรศการในครั้งนี้ว่า
“นิทรรศการนี้ต่อยอดมาจากงานเมื่อปีก่อนที่เราเอาฟุตเตจงานเก่าๆ มาตัดต่อเล่าเรื่องเป็นเหมือนเมดเลย์ผลงานของเราแสดงที่แกลเลอรี่ เวอร์ โปรเจคต์ รูม, ความจริงเราเริ่มคิดงานใหม่ตั้งแต่จบงานชุดนั้นแล้ว และเตรียมจะเดินทางไปลงพื้นที่เพื่อค้นคว้าข้อมูล แต่พอมีสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทุกอย่างต้องล้มพับไป ทั้งข้อจำกัดเรื่องการเดินทางที่ไม่สามารถไปลงพื้นที่ได้ รวมถึงปัญหาเรื่องทุนในการทำงานจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด เราจึงต้องทำงานที่ประหยัดงบประมาณให้มากที่สุด”
“ในระหว่างนั้นเราก็เสพข่าวและข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตและได้เห็นปรากฏการณ์หลายๆ อย่างในช่วงนี้ เราก็เลยเอาฟุตเตจจากข้อมูลที่เราพบเห็นในโลกออนไลน์มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่อยากจะพูด รวมกับฟุตเตจบางส่วนที่ถ่ายทำเอง โดยร่วมงานกับนักศึกษาภาควิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่”

จากที่ผ่านๆ มาเนื้อหาในผลงานของปิยะรัศมิ์มักจะมุ่งเน้นไปที่การสำรวจประเด็นเกี่ยวกับกลุ่มคนเล็กๆ อย่างแรงงานข้ามชาติหรือแรงงานชายขอบในสังคม
แต่ในนิทรรศการครั้งนี้ดูเหมือนว่าเธอจะหันมาสำรวจประเด็นปัญหาในระดับที่ใหญ่กว่า
อย่างวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลก และผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

ซึ่งปิยะรัศมิ์เฉลยให้เราฟังว่า
“ถ้าไม่มีสถานการณ์โควิด เราก็คงลงพื้นที่ทำงานในชุมชนใดชุมชนหนึ่งแบบเฉพาะเจาะจงอย่างที่เคยทำมา แต่พอโควิดมาทำให้เราต้องล็อกดาวน์อยู่กับบ้านไม่ได้ออกไปไหนแทบจะร่วมปี เราก็เลยเอาสิ่งที่เราพบเห็นในโลกออนไลน์มาทำงานแทน”
“แต่ถ้าดูในตัวงานก็จะเห็นว่านอกจากประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อีกส่วนของงานก็จะเป็นประเด็นเกี่ยวกับเรื่องแรงงานและชนชั้นทางสังคมที่เราทำมาโดยตลอด เพราะถึงแม้ตอนนี้กระแสในโลกศิลปะจะมุ่งเน้นไปที่การนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่เราเชื่อว่า ถึงแม้จะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม เราก็ไม่สามารถแยกขาดธรรมชาติออกจากมนุษย์ได้อย่างสิ้นเชิง”

“สำหรับเรา สองสิ่งนี้เป็นเรื่องเดียวกัน เราคิดว่ากระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันกำลังพยายามผลักภาระความรับผิดชอบเกี่ยวกับการแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อมให้เป็นเรื่องของปัจเจก อย่างการจัดการขยะ การเลิกใช้หรือรีไซเคิลพลาสติก หรือการลดการใช้พลังงาน ซึ่งเรารู้สึกว่าช่วยอะไรไม่ได้มาก”

“ในช่วงนี้มีแนวคิดหนึ่งถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากคือแอนโทรโปซีน (Anthropocene หรือยุคสมัยที่การดำรงอยู่ของมนุษย์ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของโลกอย่างมีนัยยะสำคัญ) แต่พอเราไปค้นคว้าเพิ่มเติมก็พบว่ามีนักคิดกลุ่มหนึ่งนำเสนอแนวคิดใหม่ ว่าโลกเราอยู่ในยุคแคพิทาโลซีน (Capitalocene) หรือยุคสมัยแห่งทุน เพราะถ้าเราคิดจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยอ้างว่ามนุษย์ทุกคนมีส่วนต้องรับผิดชอบ แต่ไม่พูดถึงตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้อย่างกระบวนการผลิตและการบริโภคของระบบทุนนิยม, ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือปัจจัยทางการเมืองต่างๆ นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

นอกจากผลงานภาพเคลื่อนไหวแล้ว ตัวห้องฉายก็มีความน่าสนใจเช่นกัน คือมีลักษณะภายนอกเป็นกล่องไม้ขนาดใหญ่คล้ายลังไม้ที่ใช้บรรจุสินค้า ซึ่งเป็นความตั้งใจของศิลปินที่ต้องการให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าในระบบทุนนิยม
“ถึงเราจะทํางานที่วิพากษ์ระบบทุนนิยม แต่เราก็ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ เราทุกคนทุกอย่างถูกขับถูกเคลื่อนไปด้วยอำนาจทุนจริงๆ ไม่ว่าจะเรารู้ตัวหรือไม่ก็ตาม อย่างนวัตกรรมหลายๆ อย่าง เช่น เรื่องลิขสิทธิ์ยา ฯลฯ แม้ตัวเราจะต่อต้าน แต่เราเองก็หนีไม่พ้น เพราะทุกอย่างถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นสินค้า ทุกสิ่งถูกกลืนไปหมดรวมถึงงานศิลปะ, ระบบทุนนิยมแทบจะกลืนกินกลายเป็นระบบเดียวและความจริงเดียวที่เราปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าเราจะต่อต้านหรือตั้งคําถามแค่ไหน แต่สุดท้ายในบรรดาหนังสือฮาวทูที่ผลิตกันมาก็เหมือนพยายามตอกย้ำว่าเราในฐานะปุถุชนก็ต้องอยู่กับมันให้ได้”

“นี่เป็นสิ่งที่เรามีปัญหามาก เราทํางานนี้ออกมาก็เพื่อจะตั้งคําถามว่า เราสามารถหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้ไหม? หรือเราจะไปต่อกันยังไง? ซึ่งตอนนี้ถ้าถามเราในฐานะคนทำงาน เราอาจจะยังให้คําตอบนั้นไม่ได้ เราคิดว่านี่เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกันคิดร่วมกัน”

นิทรรศการ Where Do We Go From Here? โดยปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์ และภัณฑารักษ์ร่วม ปฐมพงศ์ มานะกิจสมบูรณ์ จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน-26 มิถุนายน 2564 ที่หอศิลป์เว่อร์ (Gallery VER), N22 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซอย 22 (เปิดให้เข้าชมได้ตามนัดหมายเท่านั้น)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook @galleryver Instagram @vergallery, อีเมล [email protected] หรือโทร. 0-2120-6098
ขอบคุณภาพ/ข้อมูลจากหอศิลป์เว่อร์, บทความประกอบนิทรรศการโดยสรวิศ ชัยนาม