หลังเลนส์ในดงลึก : ‘ข้างกองไฟ’ / ปริญญากร วรวรรณ

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ
สมเสร็จ - ชื่อเสียงสมเสร็จ คือเป็นสัตว์ลึกลับ พวกมันมีเรื่องเล่า มีตำนานมากมาย บางแห่งเชื่อว่า เป็นสัตว์ของเทพเจ้า บางแห่งเชื่อว่า ถ้าพบสมเสร็จจะโชคร้าย

 

‘ข้างกองไฟ’

 

อยู่ในป่า

ดูเหมือนว่ากองไฟจะไม่ได้เป็นเพียงไฟที่ใช้ต้มน้ำ ประกอบอาหาร หรือให้ความอบอุ่น

แต่มันคล้ายเป็นครัว เป็นห้องกินข้าว เป็นห้องนั่งเล่น รวมทั้งเป็นห้องนอน

หลายครั้งผมใช้กองไฟเป็นที่ดูงานศิลปะ เปลวไฟร่ายรำ เปลี่ยนสี ส้ม แดง ม่วง เสียงลูกไฟปะทุเป็นเสียงดนตรี

ในแคมป์กลางคืน ส่วนใหญ่เราใช้เวลาอยู่ข้างกองไฟ

 

ข้างกองไฟคือที่พูดคุย เล่าเรื่องราวที่พบมาตอนกลางวันให้กันฟัง

แต่ความหมายจริงๆ ของเรื่อง “ข้างกองไฟ” นั้นคือเรื่องราวที่เล่าสู่กันฟัง คนเล่าอาจพบเจอด้วยตัวเอง หรือฟังต่อๆ มา

ในค่ำคืนหนาวเหน็บ ชื้นแฉะด้วยสายฝน เปลวไฟไหววูบวาบ เป็นเวลาที่ดีในการเล่าเรื่องข้างกองไฟ

เรื่องเล่าข้างกองไฟ ส่วนใหญ่ลี้ลับ เกินจริง และหลุดพ้นไปจากชีวิตจริง

ผู้เล่ามีหลักฐานยืนยันตัวตนของคนที่ประสบเรื่องนั้นๆ ได้

เรื่องเล่าข้างกองไฟ คล้ายจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในป่า มีเรื่องข้างกองไฟมากมายที่ผมได้ฟัง

ว่าตามจริงผมไม่แน่ใจนักหรอกว่าเรื่อง “ลี้ลับ” เหนือจริงเหล่านั้นคืออะไรแน่

เป็นเรื่องจริง หรืออาจเป็นแค่ภาพลวงตา ผมไม่รู้

ไม่รู้แม้ว่าจะพบเจอด้วยตัวเอง

 

ดวงอาทิตย์ลับสันเขาไปแล้ว ตอนออกจากซุ้มบังไพร และเริ่มวางเท้าลงบนทางชันๆ ไต่ลงเพื่อเดินกลับแคมป์

รอบๆ ตัวมืดสลัว แต่ผมค่อนข้างรื่นรมย์ วันนี้สมเสร็จตัวหนึ่งอนุญาตให้ผมอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่บ่าย 4 โมงเย็นจนกระทั่งฟ้ามืด

ทางลงชันๆ นั่น ขณะลงยากกว่าตอนขึ้น ง่ายต่อการลื่นไถล เราเลือกใช้เส้นทางนี้เพราะเป็นด่านที่สัตว์ป่าใช้ ผู้ใช้ และทิ้งร่องรอยไว้มากคือกระทิง

พวกมันย่อมเลือกเส้นทางที่ชันน้อยที่สุดในการเดินข้ามสันเขา

บนสันเขา สัตว์ป่าไม่อยู่หรอก พวกมันใช้เป็นทางผ่านเพื่อลงไปสู่หุบเขาอีกหุบ

ผมจะต้องใช้เวลาราวสองชั่วโมงจึงจะถึงแคมป์ หลังลงจากหน้าผาถึงลำห้วย จะลัดเลาะไปตามป่าดิบ ข้ามลำห้วยไป-มาบนหินก้อนโตลื่นๆ

เส้นทางทับซ้อน ด่านมีแยกทางโน้นทางนี้ ตรงจุดที่ต้องแยกออกจากด่านใหญ่ เราผูกเชือกสีไว้เป็นที่สังเกต

ขณะกำลังข้ามลำห้วยอีกครั้ง ก้อนหินระเกะระกะบริเวณนี้เป็นช่วงต้นน้ำ สายน้ำจึงไหลค่อนข้างแรง และมีลักษณะคล้ายน้ำตกเล็กๆ อยู่ตลอดลำห้วย

ผมเงยหน้ามองทางข้างหน้า บนหินก้อนเรียบๆ กึ่งกลางลำห้วย ในความสลัว ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งชันเข่าท่าทางสบายๆ

ผมยิ้ม ใครสักคนคงออกจากแคมป์เดินมารอรับ

กระโดดข้ามก้อนหินอีกสองสามครั้ง ผมถึงก้อนหินที่คนนั่งอยู่

หินเรียบๆ ว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่ตรงนั้น

 

ผมมองรอบๆ บางทีคนนั้นอาจเดินไปล่วงหน้า

“อะไรวะ มารับแล้วไม่ยอมรอ” ผมคิดในใจ

หลายวันก่อนพายุฝนรุนแรง ผลของพายุทำให้ต้นไม้ล้มหลายต้น ทำให้เส้นทางเปลี่ยนด่านซึ่งเดินง่ายๆ กลายเป็นด่านต้องเดินอ้อม วกวน

ผมอ้อมต้นยางใหญ่ที่ล้มอย่างถอนรากถอนโคน เห็นผู้ชายคนนั้นเดินไปทางขวา ผมเดินตาม เข้าใจว่าเขาคงจะพาตัดไปหาด่าน

แต่เส้นทางรกเกินไป ไม่คุ้นตา ผมมองรอบๆ อย่างเอะใจ ไม่มีร่องรอยคนเดินไปข้างหน้าด้วยซ้ำ

ผมถอยกลับมาที่ต้นยาง จึงพบด่านหลักที่เป็นทางกลับแคมป์

พุ่มไม้ขวามือไหวยวบ เก้งวิ่งตื่นๆ ออกไป ก่อนหยุดส่งเสียงเห่ากระชั้นๆ

ผมเดินต่อ หันไปดูทิศทางที่เดินไปเมื่อสักครู่

ใครนะเดินไปทางนั้น

 

ฟ้ามืด ผมยังไม่เปิดไฟฉายคาดหัว สายตาปรับเข้ากับความสลัว ฟ้าแลบแปลบๆ หวังว่าฝนยังไม่มาก่อนผมถึงแคมป์

เส้นทางช่วงนี้เลาะไปตามลำห้วย ตรงแอ่งทรายเล็กๆ มีรอยตีนเสือโคร่งเหยียบทับรอยเท้าผมที่เดินเมื่อเช้า

จากลำห้วย ด่านวกเข้าป่าดิบอีกครั้ง ผมเดินราบๆ ไปอีก 20 นาที

“พวกนั้นกลับถึงแคมป์กันหมดแล้ว” เสียงห้าวๆ ของผู้ชายดังขึ้น

ผมหันมองรอบๆ ไม่มีใคร

เปิดสวิตช์ไฟคาดหัว เดินเงียบๆ ไปตามด่าน ข้ามลำห้วยอีกครั้งผมก็ถึงแคมป์

 

กองไฟปะทุ เปลวสีส้มไหววูบวาบ เมฆฝนดำทะมึน บดบังแสงนวลของดวงจันทร์ขึ้น 8 ค่ำ

เรานั่งอยู่ข้างกองไฟ ผมเล่าเรื่องที่พบตอนเดินกลับแคมป์ให้เพื่อนร่วมทางฟัง

เรื่องนี้จะเป็นเรื่องข้างกองไฟอีกเรื่องหนึ่งที่จะถูกเล่าต่อๆ เมื่อได้ฟังเรื่องข้างกองไฟต่างๆ ผมไม่รู้หรอกว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร หลายเรื่องคงถูกขยายใหญ่โต

หากเป็นเรื่องสัตว์ป่า ก็จะลี้ลับ ดุร้าย อันตราย เกินจริง

เกินจริง กระทั่งไม่มีใครใส่ใจว่ามันเป็นเรื่องเล่าข้างกองไฟ

 

วันนั้น ขณะเล่าไม่มีใครถามผมหรอกว่า เป็นเรื่องจริงหรืออย่างไร

พูดตามตรง ผมไม่แน่ใจนักว่า ที่พบนั่นคืออะไร

ความจริงมีอยู่เพียงว่า มันคือเรื่องเล่า “ข้างกองไฟ”

ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง