อนุสรณ์ ติปยานนท์ : In Books We Trust (12) หนังสือแห่งความหวัง (1)

 

In Books We Trust (12)

หนังสือแห่งความหวัง (1)

 

เขาหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น

หญิงสาวคนแรกในชีวิตรักของเขา เธอย้ายมาจากอำเภอใดสักอำเภอหนึ่งที่เขาไม่คุ้นชื่อ

เธอย้ายมาจากจังหวัดใดสักจังหวัดหนึ่งที่เขาไม่เคยไปเยือน

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เธอจะมาจากที่ใด ไม่ใช่สิ่งสำคัญ

บัดนี้เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนใหม่ของเขาและเขากำลังตกหลุมรักเธอ

โรงเรียนของเขาเป็นโรงเรียนสหศึกษาแต่ก็เฉพาะชั้นมัธยมปลายเท่านั้น พื้นที่ในห้องเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมต้นถูกสงวนไว้สำหรับนักเรียนชาย

ดังนั้น เมื่อเปิดเทอมใหม่ นักเรียนมัธยมปลายทุกคนจึงเฝ้ารอนักเรียนหญิงกลุ่มใหม่ที่จะก้าวเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้

บางปีมีนักเรียนหญิงสมัครเข้ามานับสิบ

บางปีมีนักเรียนหญิงสมัครเข้ามาในจำนวนนับไม่ถ้วน

แต่ในปีนั้นมีเธอเพียงคนเดียวที่สมัครเข้ามา

มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นนักเรียนหญิงในปีนั้น

 

จึงใช้เวลาไม่นานนัก นักเรียนชายในมัธยมปลายทั้งสามชั้นปีก็รู้จักชื่อของเธอ

หทัยคือชื่อจริง ปิ่นคือชื่อเล่น ทุกคนจดจำเธอได้ในเวลาอันสั้น ไม่เพียงเพราะว่าเธอเป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียว แต่เป็นเพราะว่าใบหน้าอันงดงามของเธอ

เขาไม่เคยถามเธอว่าเธอมีความรู้สึกอย่างไรที่ต้องเป็นนักเรียนหญิงเพียงผู้เดียวในชั้นปี

เขาไม่เคยถามเธอว่าเธอต้องวางตัวเช่นไรเมื่อต้องเป็นนักเรียนหญิงเพียงผู้เดียวในชั้นปี เพราะปิ่นดูเหมือนจะไม่พึงใจกับการข้องแวะกับผู้ใด

เธอเข้าห้องน้ำนักเรียนหญิงเพียงลำพัง

เธอกินข้าวในโรงอาหารเพียงลำพัง

เธอลงรถผู้ปกครองของเธอในยามเช้าและขึ้นรถผู้ปกครองในยามเย็นเพียงลำพัง

เธอไม่เคยมีใครเป็นเพื่อน

เธอดูเหมือนไม่ต้องการใครเป็นเพื่อน

ในตอนแรกมีนักเรียนชายหลายคนทั้งชั้นปีเดียวกันและต่างปีพยายามสนทนากับเธอ พยายามผูกมิตรกับเธอ

แต่เมื่อเธอตอบพวกเขาราวกับเครื่องยนต์ที่ถูกจัดวางมาให้สนทนาเพียงจำเป็น คนเหล่านั้นก็หายไปจากชีวิตของเธอ

เว้นเพียงแต่เขา เขาผู้ตกหลุมรักเธอ แม้นว่าเขาจะไม่เคยสนทนากับเธอเลย

 

หากจะถือว่าปิ่นไม่มีเพื่อนเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพื่อนของเธอที่ทุกคนเห็นและรับรู้ได้คือหนังสือ นอกจากเวลากินอาหารแล้ว ทุกคนในโรงเรียนจะเห็นเธออ่านหนังสือและอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลา

ในมือของเธอไม่เคยมีขนม ของว่าง เครื่องสำอาง หรือเกมใดๆ เหมือนเด็กสาวคนอื่น

หากแต่มีหนังสืออยู่ติดมือเสมอ เธออาจเลือกที่นั่งริมสระน้ำ บันไดทางเดิน เก้าอี้ในสวน ไปจนถึงหญ้าข้างสนามเป็นที่นั่งอ่านหนังสือ

ทุกเช้าหลังจากลงรถของผู้ปกครอง เธอจะตรงเข้าไปที่ห้องสมุดประจำโรงเรียน

หลังจากนั้นราวยี่สิบนาทีหรือครึ่งชั่วโมง เธอจะกลับออกมาพร้อมกับหนังสือหนึ่งเล่ม และตลอดวันนั้นเราจะเห็นเธออ่านและอ่าน อ่านและอ่านเพียงลำพัง

ช่วงเวลาในห้องสมุดนั้นเองที่เขาได้ใกล้ชิดเธอมากที่สุด ในช่วงเวลาเช้าเช่นนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องสมุด

ในยามบ่ายอาจมีนักเรียนที่อ้างว่าไม่สบายและขอตัวมาพักผ่อน ในยามเย็นอาจมีนักเรียนที่มาพลิกหน้าหนังสือไปมาแบบไม่ใส่ใจเพื่อรอผู้ปกครอง

แต่ในยามเช้านอกจากบรรณารักษ์ที่แทบจะวุ่นกับการทำความสะอาดแก้วกาแฟของตนเองแล้ว ก็หลงเหลือเพียงปิ่น เขาและหนังสือเท่านั้น

 

ทุกเช้าปิ่นจะวางหนังสือที่เธออ่านจบไว้บนเคาน์เตอร์บริการยืมคืนก่อนจะเดินเข้าไปในชั้นหนังสือใดสักชั้น

ในช่วงต้นสัปดาห์ เธอจะเลือกหนังสือประวัติศาสตร์

เมื่อถึงกลางสัปดาห์เธอจะเลือกหนังสือด้านสังคมและความรู้ และเมื่อถึงปลายสัปดาห์เธอจะเลือกหนังสือนวนิยาย

ในทุกวันศุกร์เธอจะยืมนวนิยายจำนวนเท่าที่บัตรห้องสมุดของเธอจะอนุญาตให้ทำ หอบมันเต็มสองมือและทยอยใส่ถุงผ้าที่เธอเตรียมมาก่อนจะนำมันขึ้นไปที่ห้อง ถุงผ้าจะถูกวางไว้ข้างเก้าอี้ของเธอที่มีเธอนั่งเพียงผู้เดียวอยู่ริมห้อง

และเมื่อออดสัญญาณเตือนการหมดวันและหมดสัปดาห์ดังขึ้น เธอก็จะหยิบถุงผ้านั้นก่อนอื่นใด ก่อนจะตามด้วยกระเป๋านักเรียน

เธอจะเดินลงจากอาคารเรียนและก้าวขึ้นรถของผู้ปกครองเพียงลำพัง รถคันนั้นจะนำเธอจากโรงเรียนนี้ไปในสัปดาห์นั้น โรงเรียนที่มีเธอเป็นนักเรียนหญิงเพียงผู้เดียวในชั้นปี

ในช่วงแรก เขาพบปิ่นโดยบังเอิญที่ห้องสมุด แม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเธอ เขากลับมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากเธอมาก

บ้านของเขาอยู่ไม่ไกลโรงเรียนนัก ดังนั้น เวลาที่เขามาถึงโรงเรียนจึงเป็นเวลาก่อนหน้าการเคารพธงชาติ

ในขณะที่ปิ่นจะมาถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่ มีคนเคยบอกเขาว่ามีบางครั้งที่ภารโรงประจำโรงเรียนพบเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าประตูโรงเรียนทั้งที่ประตูยังไม่ถูกเปิดด้วยซ้ำไป

แต่คำกล่าวนั้นเขาไม่เคยเห็นด้วยตาตนเอง

กระนั้นเขาก็เชื่อว่ามันเป็นความจริงอย่างยิ่ง

 

เช้าวันนั้น เขามาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อค้นหนังสือห้องสมุดไปทำรายงานที่ต้องส่งในยามบ่าย

นาทีแรกที่เขาเดินเข้าไปในห้องสมุด เขาก็แลเห็นปิ่น ชุดนักเรียนขาวสะอาดตาของเธอ โดดเด่นอยู่ท่ามกลางไรฝุ่นในอากาศที่เผยตัวมันท่ามกลางแสงแดดสลัวยามเช้า

เขาเดินเข้าไปที่ชั้นหนังสือข้างๆ เธอ หยิบหนังสือเล่มข้างหน้าอย่างไม่ตั้งใจ พร้อมกับแอบมองเธอผ่านช่องหนังสือ

ปิ่นไม่เห็นเขา หรือเธออาจเห็นเขาแต่เธอไม่ใส่ใจก็เป็นได้

นอกจากหนังสือแล้ว มนุษย์ผู้มีชีวิตดูจะเป็นสิ่งที่เธอให้ความใส่ใจน้อยเต็มที

หนังสือที่ปิ่นหยิบขึ้นอ่านในวันนั้นคือ ขุนศึก ของ “ไม้ เมืองเดิม” เขาจำปกที่เป็นภาพวาดของเหม เวชกร ได้ มันเป็นหนังสือเก่าที่แทบไม่มีนักเรียนคนใดในโรงเรียนนี้สนใจ

ในชั้นของนวนิยาย หลายคนพอใจจะหยิบ “คู่กรรม” หรือ “กระท่อมเล็กในป่าใหญ่” ซึ่งยังคงความใหม่น่าอ่านมากกว่านวนิยายที่สันปกหลุดลุ่ยและกระดาษกรอบเหลือง

แต่กระนั้นปิ่นก็หยิบมันขึ้นมา แต่กระนั้นเธอก็หยิบมันออกจากชั้นและนำมันไปวางลงบนหน้าของบรรณารักษ์

ชายผู้เป็นบรรณารักษ์ละมือจากงานล้างแก้วกาแฟของเขามานั่งลงที่โต๊ะทำงาน เขาพลิกหนังสือเล่มนั้นดูก่อนจะเอ่ยว่า “หนังสือเก่า ไม่น่าจะมีครบเล่ม เธอยืมไปก็อ่านมันไม่จบอยู่ดี จะลองเปลี่ยนเล่มใหม่ไหม?” เขาเอ่ยถามด้วยท่าทีของความห่วงใย

แต่ปิ่นส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ แทนการยืนกรานที่จะยัดเยียดหนังสือเล่มอื่น บรรณารักษ์กดตรายางลงบนบัตรห้องสมุดของปิ่น และอีกหนึ่งนาทีต่อมาเธอก็เดินออกจากห้องสมุด

ส่วนเขานั้นตรงไปที่ชั้นสำรวจนวนิยาย “ขุนศึก” เล่มที่เหลือ มันมีเล่มที่สอง สี่ ห้า เจ็ดและสิบ เล่มที่สาม หก แปด และเก้า หายไปไม่มีอยู่บนชั้นเลย

 

เขาเดินออกจากห้องสมุด เหม่อลอยและรู้สึกอ้างว้างราวกับหนังสือเล่มที่หายไป

เพราะเหตุใดปิ่นจึงเลือกหนังสือที่ไม่ครบชุด

เพราะเหตุใดเธอจึงเลือกอ่านหนังสือที่ไม่ครบชุด เธอมีเหตุผลหรือไม่

หรือว่าเธอคิดว่ามันไม่สำคัญ เรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่ออาจให้ความพึงใจกับเธอในอีกแบบหนึ่ง

เขาขบคิดเรื่องเหล่านี้จนลืมว่าตัวเขานั้นต้องการหนังสือสำหรับทำรายงาน และบ่ายวันนั้นไม่มีรายงานจากเขาส่งถึงมือครู

การมีชีวิตอยู่ภายใต้ความรักที่เรามีต่อใครบางคนเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ เขาสามารถคิดถึงปิ่นได้ตลอดเวลาในขณะที่ไม่อาจทำเช่นนั้นกับการเรียน

เขาคิดถึงหนังสือที่หายไปตลอดเวลาในขณะที่เขาไม่คิดถึงหนังสือเรียนที่ควรจะต้องถูกอ่าน

เขารู้สึกว่าชีวิตของมนุษย์นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท ชีวิตของมนุษย์ที่มีความรักและชีวิตของมนุษย์ที่ไร้รัก

บุคคลทั้งสองประเภทนั้นดูเหมือนแทบไม่มีความแตกต่างกันในเบื้องนอก แต่ในเบื้องในแล้ว ทั้งคู่แตกต่างกันมากเหลือเกิน

เขาใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์ขบคิดถึงเรื่องของปิ่น ถึงเขาจะเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แต่เขาเชื่อว่าปิ่นมีโลกของการอ่านที่ลึกล้ำกว่าเขา ถึงเขาจะเป็นคนชอบหนังสือ แต่ท่วงท่าในการประคองหนังสือไว้ในมือของปิ่นนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าเขา

ดังนั้น เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดปิ่นจึงเลือกอ่านหนังสือที่ดูเหมือนจะไม่สมบูรณ์

เพราะเหตุใดหญิงสาวผู้โดดเดี่ยวผู้นี้จึงเลือกทำในสิ่งที่ยากจะเข้าใจ

สุดสัปดาห์นั้นของเขามาด้วยการกินอาหารแบบไม่รู้รส และการนอนที่ไม่เต็มตา

คืนวันอาทิตย์ที่เขาข่มตาหลับครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เป็นผลจึงลงเอยด้วยการลงไปยังห้องสมุดของพ่อที่อยู่ใต้ถุนบ้านของเขา

 

ห้องสมุดของพ่อมีหนังสือมากมาย พ่อของเขาที่แม้จะเป็นข้าราชการปกครองชั้นผู้น้อยแต่กลับเป็นนักสะสมหนังสือที่เกินฐานะ

พ่อมีหนังสืองานศพของคนหลายคนที่เขาเชื่อว่าพ่อคงไม่รู้จัก หนังสือเหล่านั้นน่าจะถูกหยิบยื่นให้พ่อจากใครบางคนที่ไม่อยากอ่านและเก็บมัน

พ่อรับหนังสือเหล่านั้นด้วยความยินดี จัดชั้นไม้ทาสีดำราวกับการไว้อาลัยอีกครั้งให้กับหนังสือดังกล่าว

มันเป็นชั้นหนังสือที่โดดเด่นที่สุดแต่ก็น่าหวาดหวั่นที่สุดด้วยในทางเดียวกัน

เขาแอบเรียกชั้นหนังสือดังกล่าวว่า “ชั้นหนังสือแห่งความตาย”

แต่นอกเหนือจากชั้นดังกล่าว พ่อมีชั้นหนังสือหลายชั้นที่เขาพึงใจ หนังสือนิทานนานาชาติ หนังสือประวัติศาสตร์โลก หนังสือภาพสัตว์และสถานที่ท่องเที่ยว หนังสือนวนิยายของดอกไม้สด ไปจนถึงหนังสือนักสืบของเซอร์ อาร์เธอร์ โคแนน ดอยล์

คืนนั้นเขาหยิบการผจญภัยของเชอร์ล็อกโฮล์มออกจากชั้นอีกครั้ง คดีย่อยแต่ละคดีเหล่านั้นเขาอ่านมันมาแล้วหนึ่งรอบ แต่ในคืนนั้นเขาคิดว่าการอ่านมันซ้ำน่าจะทำให้เขาหลับได้ในที่สุด

ทว่าหนังสือเล่มนั้นกลับทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อพบว่าหนังสือเล่มที่อยู่เคียงข้างมันคือนวนิยายเรื่อง “ขุนศึก” เล่มที่สาม มันคือเล่มที่ขาดหายไปจากชั้นหนังสือห้องสมุดของโรงเรียน แม้ว่าจะเป็นฉบับที่พิมพ์ใหม่กว่าหนังสือ “ขุนศึก” ที่ปิ่นหยิบติดมือไปก็ตาม

เขาเอาหนังสือเล่มนั้นออกจากชั้น และในเวลาไม่นานนัก เขาก็คิดได้ในบางสิ่ง แทนการขบคิดว่าเพราะเหตุใดปิ่นจึงเลือกอ่านหนังสือที่ไม่ครบชุด ไม่สมบูรณ์แบบ เขาจะขบคิดถึงการตามหาหนังสือที่ขาดหายไปมามอบให้แก่เธอ

หากความรักคือการทำให้คนที่เรารักสมหวัง การทำให้นักอ่านผู้หนึ่งได้อ่านหนังสืออย่างครบถ้วนน่าจะเป็นการสมหวังที่ไม่มีสิ่งใดปาน

เช้าวันจันทร์ เขาไปถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่ ยืนเฝ้ารอจนชายบรรณารักษ์ผู้นั้นมาถึงที่ทำงาน และเมื่อประตูถูกเปิดออก เขาก็ตรงไปที่ชั้นหนังสือก่อนจะหยิบนวนิยาย “ขุนศึก” เล่มที่สามออกจากอกเสื้อและวางมันแทรกลงบนชั้นหนังสือ