ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
ฟันดีสีอะไร?
ความนิยม ‘ฟันงาม’ ของแต่ละยุคสมัยต่างกัน ‘งาม’ ของสมัยก่อนอาจเป็น ‘ขี้ริ้วขี้เหร่’ หรือ ‘อัปลักษณ์’ ของสมัยนี้ ความนิยมหรือแฟชั่นนั้นไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา หนึ่งในหลักฐานชั้นดีที่บอกให้รู้ว่าคนสมัยไหนนิยมฟันสีอะไร คือวรรณคดี
‘สามเรื่อง สามสาว สามสี’ คือวรรณคดี 3 เรื่องสมัยอยุธยาสะท้อนภาพสามนางกับฟันสามสี เริ่มจาก “สมุทรโฆษคำฉันท์” ชมโฉมนางพินทุมดีว่าฟันขาววาววับราวกับเพชร
“พระทนตเพี้ยงวชิรรัตน์ และระเบียบระเบียมสม”
(ทนต์ คือฟัน วชิร หรือวิเชียร คือเพชร)
ส่วนนางจันทรใน “เสือโคคำฉันท์” ฟันเป็นประกายดังมณีสีแดงฉาน
“พระโอษฐเมื่อแย้มยิ้ม ใครเห็นปิ้มจะงวยงง
แสงทันตยับยง คือแสงไพรุแดงฉัน”
ในขณะที่ “กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก” วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลายถ่ายทอดภาพนางในราชสำนักมีฟันดำวาววามเหมือนแสงนิล
“พิศฟันรันเรียงเรียบ เปนระเบียบเปรียบแสงนิล
พาทีพี่ได้ยิน ลิ้นบกระด้างช่างเจรจาฯ”
น่าสังเกตว่า แฟชั่น ฟ ฟัน สมัยอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นิยมฟันดำทั่วถึงทั้งนอกวังในวัง ดังจะเห็นได้จากงานเขียนของชาวฝรั่งเศส 2 คนที่เดินทางเข้ามาในเวลาต่อเนื่องกัน นิโกลาส์ แชร์แวส บันทึกไว้ว่าสีฟันของพวกเขาไม่เป็นที่ต้องตาของสาวสยามฟันดำเลยแม้แต่น้อย ดังตอนหนึ่งของหนังสือ “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม” (ฉบับสันต์ ท.โกมลบุตร แปล)
“…สิ่งที่ผู้หญิงสยามไม่อาจทนดูพวกเราได้ก็คือ ตรงที่พวกเรามีฟันขาว และพวกนางเชื่อกันว่าพวกภูตผีปีศาจเท่านั้นที่มีฟันขาว และเป็นที่น่าอับอายที่มนุษย์เราจะมีฟันขาวเหมือนอย่างสัตว์เดียรัจฉาน…”
ซึ่งกลายเป็นคำกล่าวขานกันต่อมาว่า ‘ฟันดำคือฟันคน ฟันขาวคือฟันสุนัข’
มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ บรรยายถึงหน้าตาของชาวสยามสมัยนั้นไว้ใน “จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม” (ฉบับสันต์ ท.โกมลบุตร แปล) ดังนี้
“ปากนั้นกว้าง ริมฝีปากหนาซีดๆ และฟันดำ”
ข้อความที่แชร์แวสและลาลูแบร์บันทึกไว้ บอกถึงมุมมองเกี่ยวกับสีของฟันที่แตกต่างกัน ทั้งเจ้าของบ้านและผู้มาเยือนล้วนเอาตนเองเป็นมาตรฐานวัด อะไรที่ผิดแผกไปไม่ถือว่าดี
ความนิยมฟันดำยังดำเนินต่อมาในสมัยธนบุรี หลวงสรวิชิต (หน) กวีมีชื่อ (ต่อมาคือเจ้าพระยาพระคลัง (หน) สมัยรัตนโกสินทร์) ได้วาดภาพพระเอกในวรรณคดีเรื่อง “ลิลิตเพชรมงกุฎ” ไว้ว่า
“ริมโอษฐ์เรียบไรทนต์ ทันต์ดำกลแมลงภู่”
การเปรียบฟันของพระเพชรมงกุฎกับแมลงภู่ หรือแมลงดำขลับ รูปร่างคล้ายผึ้งแต่ตัวโตกว่า เท่ากับยืนยันว่าฟันดำมิได้จำกัดเฉพาะหญิง ชายก็นิยมเช่นกัน
มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ภาพของนางสีดาจากบทละครในเรื่อง “รามเกียรติ์” พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 1 มีข้อความว่า
“พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย”
ลักษณะนี้ไม่ต่างกับที่รัชกาลที่ 3 ทรงพรรณนาชมฟันสตรีด้วย ‘กลบทบัวบานกลีบขยาย’ ใน “เพลงยาวพระราชนิพนธ์” ตอนหนึ่งว่า
“เจ้างามทนต์กลนิลช่างเจียระไน เจ้างามเกศดำประไพเพียงภุมริน”
รัชกาลที่ 3 ทรงเปรียบสีของฟันกับสีดำของนิลที่เจียระไนแล้ว ภาพของฟันจากตัวอย่างข้างต้น จึงมิใช่แค่ ‘ดำ’ แต่ ‘ดำเป็นมันวาว’
นอกจากนี้ ภาพของนางผู้เป็นที่รักใน “นิราศเมืองนครศรีธรรมราชคำฉันท์” ที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทรงพระนิพนธ์ไว้สมัยรัชกาลที่ 4 (เมื่อครั้งตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ หัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายทะเลตะวันตกทางชลมารค) สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมฟันดำอย่างชัดเจน
“งามทันตกาฬกลระดับ และคละคลับคละคล้ายนิล”
(กาฬ = ดำ)
ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 สีฟันของนางในวรรณคดีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสียอดนิยม ดังที่ “กาพย์เห่ชมโฉม” พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 พรรณนาว่า
“พิศโอฐโอฐแฉล้ม ยามยิ้มแย้มเห็นรายฟัน
ดำขลับยับเป็นมัน ผันพักตร์เยื้อนเอื้อนอายองค์” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
อย่างไรก็ดี ความนิยมดังกล่าวเปลี่ยนไปในรัชกาลต่อมา ดังจะเห็นได้จากตอนหนึ่งของ “บทเห่ครวญ” รัชกาลที่ 6 ทรงรำพันว่า
“ตาดำขำแก้วพี่ พอสมดีกับสีผม
ฟันขาวดูราวชม แก้วมุกดาน่ายินดี”
ความนิยมนี้น่าจะอยู่ในหมู่หนุ่ม-สาวทุกระดับชั้น ดังที่ ‘กาญจนาคพันธุ์’ บันทึกไว้ในหนังสือเรื่อง “80 ปีในชีวิตข้าพเจ้า” ว่า
“…ฟันดำหายไป หนุ่ม-สาวนิยมฟันขาวหมด แต่คนอายุกลางคนหรือคนแก่ยังฟันดำเพราะยังกินหมากอยู่…”
ฟันดำเพราะกินหมากเท่านั้นหรือ?
ฉบับหน้ามีคำตอบ