นกกระสาปกครองกบ ฝันจะได้พบความยุติธรรม/หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว มุกดา สุวรรณชาติ

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว

มุกดา สุวรรณชาติ

 

นกกระสาปกครองกบ

ฝันจะได้พบความยุติธรรม

 

ความยุติธรรมที่ใช้แยกถูก-ผิด ดี-ชั่ว ผู้คนล้วนต้องการให้มีมาตรฐานวัดได้ ไม่ใช่เลี้ยวลดคดงอหรือเอียงไปตามอำนาจที่เกี่ยวข้อง ช่วงเวลาใดที่อำนาจบางฝ่ายมีมากกว่า มันก็จะเอียงเข้าหาฝ่ายนั้น และถูกอ้างว่า ทำตามกฎหมาย ซึ่งในแต่ละยุคก็จะถูกเขียนโดยผู้มีอำนาจหรือผู้ชนะ ดังนั้น ผู้ทำการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ แม้มีโทษถึงตายตามกฎหมาย แต่คณะรัฐประหารก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเองได้ จึงไม่มีความผิด ไม่ตาย ไม่ต้องติดคุก แต่คนที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหารกลับต้องติดคุกหรือตายแทน

เท่านั้นยังไม่พอ แม้กฎที่ออกมาเองผู้มีอำนาจก็สามารถมีข้อยกเว้นได้

สภาพบ้านเมืองวันนี้จึงขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ ประชาชนชาวบ้านธรรมดาในวันนี้ก็เหมือนข้า ไพร่สมัยก่อน เขาให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม พวกเจ้าขุนมูลนายบอกว่าสิ่งไหนถูกก็คือถูก สิ่งไหนผิดก็คือผิด ไม่อาจถกเถียง หรืออ้างความยุติธรรมใดๆ ขึ้นมาคัดค้าน การพูดความจริงสมัยนี้ แม้ไม่ถูกโบยจนหลังลาย แต่ก็ถูกจับไปขังคุกได้

พวกเผด็จการจะคิดว่าคนที่ต่อต้านพวกเขาเป็นผู้ร้ายเสมอ แม้เขาจะใช้อาวุธชิงอำนาจมา หรือฆ่าประชาชนกลางเมือง แต่เมื่อมีอำนาจก็สามารถจะยัดคดีต่างๆ ให้พวกที่เรียกร้องประชาธิปไตย

เช่น ในพม่าวันนี้ทหารที่ยึดอำนาจ กล้าเรียกรัฐบาลชั่วคราวที่ชนะเลือกตั้งว่าผู้ก่อการร้าย

 

การตัดสินคดีที่เกี่ยวกับการเมือง

เป็นไปตามโครงสร้างอำนาจ

เพราะผู้มีอำนาจทั้งเขียนกฎหมาย กำหนดตัวบุคคล และกระบวนการยุติธรรม

การจะมีความยุติธรรมหรือความอยุติธรรม จึงมาจากคนที่มีอำนาจในสังคม ซึ่งในแต่ละยุคสมัยก็มีสัดส่วนองค์ประกอบที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะมาจาก

1. อำนาจจากกำลัง เช่น อาวุธ ทหาร

2. อำนาจที่มาจากความนับถือ เชื่อถือ ตามจารีตประเพณีวัฒนธรรม เช่น ความนับถือในสถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์

3. อำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น เงินทอง ที่ดิน การควบคุมการค้า

4. อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนผ่านระบบรัฐสภา

ทั้ง 4 อำนาจจะถูกหลอมรวมเป็นระบบปกครอง จากนั้นก็สร้างกฎว่า อำนาจชี้ถูกชี้ผิด ตัดสินความขัดแย้ง เป็นของคนกลุ่มใดบ้าง มีกระบวนการยุติธรรมอย่างไร โดยตั้งสมมุติฐานว่า คนกลุ่มนี้เป็นอิสระ และเที่ยงตรง จึงเกิดอำนาจที่ 5 ขึ้น

5. อำนาจที่ผ่านตัวบทกฎหมาย ซึ่งจะใช้ผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่มีตำรวจ อัยการ ศาล องค์กรอิสระ

เมื่อวิเคราะห์ตามโครงสร้างนี้ ท่านทั้งหลายก็จะนึกออกว่าใครมาจากฐานอำนาจใด เขาจะรับใช้ใคร มันเห็นชัดเจนมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 จนถึงวันนี้

ตัวอย่าง…การปลดนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งในข้อหาสอนทำกับข้าวออกโทรทัศน์ และเมื่อเทียบกรณีตำแหน่ง รมต.ของธรรมนัส พรหมเผ่า หรือการยุบพรรคการเมืองต่างๆ แต่ถ้าเทียบกับการฆ่าประชาชนกลางเมือง ทุกเรื่องเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเส้นแบ่งถูก-ผิด คดงอไปตามอำนาจ เพราะแม้แต่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้นำของฝ่ายบริหารยังโดนเล่นงานได้ คนธรรมดาย่อมหนีไม่พ้น มีโอกาสตั้งแต่ติดคุกหรือตายฟรี

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนมีการศึกษา นักการเมืองและข้าราชการส่วนหนึ่งจะฉวยโอกาสเอียงเข้าหาฝ่ายมีอำนาจทันที เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เฉพาะหน้า นี่เป็นการนำบ้านเมืองเข้าสู่กลียุคอย่างแท้จริง

เป็นการพิสูจน์ว่า ประเทศนี้ ความยุติธรรม หรืออยุติธรรม เกิดจากอำนาจ

คนรุ่นใหม่เคลื่อนไหวเพราะเห็นความอยุติธรรมครองเมือง

 

เด็กๆ เติบโตมาจากการสั่งสอนว่าจะต้องอยู่ฝ่ายธรรมะ ต้องมีความยุติธรรม ต้องเสียสละและต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้อง

ผู้ใหญ่ต่างหากที่ถูกชักจูงจนออกนอกกรอบของศีลธรรม ความดีงาม และผลประโยชน์ของชาติ ปัญญาชน สื่อมวลชน และคนที่มีฐานะนำในสังคม ส่วนใหญ่ก็เพิกเฉย หรือไปหาประโยชน์ร่วมกับผู้มีอำนาจ

จะหาคนที่เกี่ยวข้องในวงการยุติธรรม คัดค้าน และต่อสู้เพื่อหลักกฎหมายที่ถูกต้อง หรือให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปอย่างเที่ยงตรง มีน้อยเต็มที

อยุติธรรมจึงเกิดซ้ำซาก

ถ้ามองไกลถึงอนาคตเด็กและเยาวชนรุ่นนี้จะลำบากมาก จะต้องแบกรับหนี้ทั้งหมดไว้ ทำมาหากินก็ยาก พวกเขาจะพบทั้งปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาแก้ไขนานเป็น 10 ปี พอคิดจะแก้ไขก็ถูกตั้งข้อหา เยาวชนคนธรรมดาเริ่มมองหาประเทศใหม่ ที่คิดสู้ต่อในไทยก็ยังเป็นการเคลื่อนไหวแบบปฏิรูป

ในขณะที่พม่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบปฏิวัติไปแล้ว เพราะสถานการณ์บังคับ

คนรุ่นใหม่ใช้อำนาจที่ทันสมัยที่สุด ในยุค New Normal เพื่อต่อสู้

คืออำนาจจากความรู้และข้อมูล โดยการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูล การวิเคราะห์ หาสาเหตุ ผลกระทบ และการแสดงความคิดเห็นของคนในสังคมที่สามารถแสดงผ่านระบบสื่อสารยุคใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แม้ไม่มีฐานันดรพิเศษในสังคม แต่ปริมาณและความเร็วกลายเป็นพลังของสามัญชนที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมในปัจจุบัน

กลายเป็นอำนาจที่ 6 ที่สามารถเปิดโปง เปิดเผย ข้อมูล ความรู้และความจริงสู่สาธารณะ บัดนี้ตกอยู่ในมือประชาชนที่สามารถชี้แจง เปิดโปงปัญหาต่างๆ ในสังคม ได้อย่างรวดเร็ว

การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมจึงเกิดได้ตลอดเวลา และกลายเป็นเครื่องมือเรียกร้องความยุติธรรมและประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่

แต่ปัญหาใหญ่คือพวกเขากำลังสู้กับกลุ่มคนที่หน้าด้าน ไม่มีความละอายใดๆ ผลตอบแทนคือเยาวชนที่เคลื่อนไหว ถูกจับขังคุก ถูกกดดัน ต่อต้าน ดิสเครดิต ข่มขู่ คุกคามโดยอำนาจรัฐ

 

สถานการณ์ในอนาคต

ของกบและนกกระสา

ทั่วโลกมองออกแล้วว่าระบบปกครองของเราเป็นอย่างไร ระบบยุติธรรมมีมาตรฐานหรือไม่ ระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างไร พวกเขารอว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในแต่ละด้านหรือไม่ อย่างไร? ท่ามกลางโรคระบาดโควิด ไทยจะแก้ไขการบริหารการปกครอง การยุติธรรมได้หรือไม่?

ถ้าการระบาดของโควิดไม่ลดลงใน 3 เดือน รัฐบาลชุดเดิมยังบริหารแบบเดิม แผนการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันระดับประเทศจะไม่สำเร็จตามแผน

(อัตราการฉีดวัคซีน ปัจจุบันวันละประมาณ 40,000 คน ต่อให้เพิ่ม 3 เท่า เป็นวันละ 120,000 ก็จะได้เดือนละ 3,600,000 โดส ถ้าได้วัคซีนมามิถุนายน ตามกำหนด ถึงสิ้นปี 2564 จะทำได้ประมาณ 25-26 ล้านโดส ถ้าเพิ่มกำลังอีกเท่าตัว ก็จะสามารถฉีดได้ครบ 2 โดสจำนวนหนึ่ง อาจถึง 15 ล้านคน และที่ฉีดโดสเดียวอาจถึง 15 ล้านคน น่าจะพอสกัดการระบาดใหญ่ได้ แต่ถ้ายังมีคนติดเชื้อเป็นหลักพัน มีคนป่วย มีคนตาย จะมีผลต่อการเปิดประเทศ)

การเปิดรับนักท่องเที่ยวในปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2565 ก็จะไม่สำเร็จ จะไม่มีเงินไหลเข้าประเทศ ชาวบ้านจะเจอทั้งโรคระบาดและขาดเงิน SME ที่ทนสู้มา 2 ปีเต็ม ส่วนใหญ่คงไปไม่รอด ชาวบ้านที่สู้บ้าง ยอมบ้าง เจอแรงกดดันทางเศรษฐกิจ บวกการเมืองถึงจุด จะเกิดอะไรขึ้นไม่มีใครคาดเดาได้ กลุ่มไหนจะพังก่อนกัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้…กบ…รู้ว่า เอานกกระสามาปกครอง… ก็ต้องพบความอยุติธรรม

นกกระสาที่ขนขาวสวยงาม เมื่อกินกบจนอิ่ม ก็บินจากไปได้ แต่ชาวบ้านธรรมดาไม่มีกำลังย้ายไปไหน เหมือนกบในหนองน้ำที่กำลังจะเน่า