แพทย์ พิจิตร : ว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามประเพณีการปกครองของอังกฤษ (21)

อังกฤษมีพระราชบัญญัติว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1937 (the Regency Act 1937) โดยมุ่งให้ พ.ร.บ. นี้ครอบคลุมกรณีต่างๆ ที่พระมหากษัตริย์จะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ (royal incapacity) โดยกำหนดให้มีการตั้งสภาสำเร็จราชการแผ่นดินหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (แล้วแต่กรณี) ปฏิบัติภารกิจแทนพระมหากษัตริย์

เงื่อนไขที่พระมหากษัตริย์จะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ ได้แก่ ทรงพระประชวร ทรงพระเยาว์ (พระชนมายุไม่ถึง 18 พรรษา) และไม่ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร

และการที่องค์พระประมุขอาจจะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และควรจะเข้าใจ ดังที่นักวิชาการอังกฤษ เซอร์ David Keir ชวนให้เข้าใจว่า องค์พระมหากษัตริย์ก็ทรงเป็น “มนุษย์” (human) จึงย่อมมีช่วงเวลาที่ทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ จะด้วยทรงพระประชวรหรือทรงไม่ประทับอยู่ (illness or absence) หรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม จึงทำให้การที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติพระราชภาระต่างๆ ดังกล่าวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง Sir David Keir ได้กล่าวไว้ในตำรา “The Constitutional History of Modern Britain since 1485” (1966) ว่า

“กฎหมายจำเป็นจะต้องหา…กลไกต่างๆ เพื่อการประนีประนอมสิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นหลักการนามธรรมที่ผูกติดอยู่กับสถานะขององค์พระมหากษัตริย์กับความไม่สะดวกในทางปฏิบัติอันเป็นผลมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นมนุษย์ที่อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสที่จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้”

แต่หลังจากบังคับใช้ พ.ร.บ. เพียงสองปี ก็เกิดปัญหาที่คาดไม่ถึง

นั่นคือ ในปี ค.ศ.1939 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่หกเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา และการเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาครั้งนั้น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ สมเด็จพระราชินีมเหสีได้ทรงตามเสด็จด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ทรงอยู่ในสถานะอันดับแรกของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน พ.ร.บ. ดังกล่าวไม่ได้เปิดทางให้มีการแต่งตั้งบุคคลอื่นแทนบุคคลในตำแหน่งที่ พ.ร.บ. ระบุเฉพาะเจาะจงไว้ หรืออนุญาตให้แต่งตั้งบุคคลที่จะสืบราชสันตติวงศ์ในอันดับต่อๆ ไปขึ้นมาแทนได้จนครบ

กรณีที่สองคือ พ.ร.บ. กำหนดให้มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากองค์พระประมุขเสด็จขึ้นครองราชย์ก่อนพระชนมายุ 18 พรรษา และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และรวมทั้งผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดินจะต้องมีอายุ 21 ปี

ส่งผลให้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นอีกในปี ค.ศ.1943 โดยกำหนดให้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะองค์รัชทายาทสามารถดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดินตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป

ดังนั้น เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธจึงสามารถดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดินได้ทันทีในอีกสามปีต่อไป (ค.ศ.1944)

ต่อมาในปี ค.ศ.1952 อันเป็นปีที่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองเสด็จขึ้นครองราชย์ ก็ได้มีสถานการณ์ที่ทำให้เห็นข้อบกพร่องใน พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ.1937 อันเนื่องมาจากสถานการณ์ในพระบรมวงศานุวงศ์

โดยเฉพาะต่อกรณีผู้ที่อยู่ในสถานะที่จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองจะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ หากเงื่อนไขของการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คือพระบรมวงศานุวงศ์ที่อยู่ในอันดับแรกที่จะสืบราชสันตติวงศ์ อันได้แก่ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งพระองค์จะทรงมีพระชนมายุครบ 18 พรรษาในปี ค.ศ.1966

และเมื่อคราใดที่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองจะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ ตาม พ.ร.บ. ค.ศ.1937 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์จะทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

แต่ก่อนปี ค.ศ.1966 พระองค์ก็ยังถือว่าทรงพระเยาว์ ไม่สามารถบริหารพระราชภารกิจแทนองค์พระประมุข ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแต่งตั้งเจ้าหญิงมากาเร็ตในฐานะที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์อันดับถัดไปเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเป็นผู้ปกครองเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตามกฎหมาย

ส่วนดยุคแห่งเอดินเบอระ (Duke of Edinburgh) ผู้เป็นพระสวามีสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองและพระราชบิดาเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ไม่อยู่ในสถานะที่จะสืบราชสันตติวงศ์จะไม่ทรงสามารถได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ และไม่สามารถได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตามกฎหมายอีกด้วย

สถานการณ์ดังกล่าวนี้เป็นสถานการณ์ที่สร้างความยุ่งยากให้กับทั้งสามพระองค์ นั่นคือ ทั้งสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สอง ดยุคแห่งเอดินเบอระ และเจ้าหญิงมากาเร็ต

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวดูจะเป็นสถานการณ์ที่ประหลาดต่อสาธารณชนทั่วไปที่ว่า “น้าสาวจะเป็นผู้ปกครองของหลานชาย แทนที่จะเป็นบิดาของเขา”

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความยุ่งยากอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับลำดับชั้นของบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดินด้วย

นั่นคือ จากการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่หก ทำให้พระมเหสีของพระองค์ไม่อยู่ในรายนามตำแหน่งของผู้ที่อยู่ในสถานะที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดินอีกต่อไป

จากสถานการณ์ดังกล่าวนี้ จึงทำให้ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ.1937 เป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ.1953 หลังจากที่มีการแก้ไขครั้งแรกไปแล้วในปี ค.ศ.1943

โดย เซอร์เดวิด แม็กซ์เวล-ไฟฟ์ (Sir David Maxwell-Fyfe) รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย (ต่อมาเขาคืออัยการของอังกฤษในการพิจารณาคดีนาซีที่นูเรมเบิร์ก) ได้กล่าวอภิปรายต่อรัฐสภาถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ.1937 ที่แม้นว่า พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวนี้จะมีเจตนารมณ์ที่จะบัญญัติข้อกำหนดให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์อันจะเกิดขึ้นได้ แต่กระนั้นก็ไม่สามารถครอบคลุมกรณีต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นแต่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้แน่นอนในทุกกรณีได้

ด้วยเหตุผลที่เซอร์เดวิดให้ไว้ว่า

“…สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์ดังกล่าวได้ทุกกรณี หรือทุกๆ เงื่อนไขของสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้”

และในการอภิปรายของรัฐสภา เซอร์เดวิดได้ถูกตั้งคำถามอย่างระมัดระวังต่อกรณีการ “ยกเว้น” เจ้าหญิงมากาเร็ตออกไป

ภายใต้ พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ.1937 ฉบับแก้ไข ค.ศ.1953 ได้กำหนดให้ดยุคแห่งเอดินเบอระเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองและดยุคจะเสด็จขึ้นครองราชย์ในขณะที่พระชนมายุไม่ครบ 19 พรรษา

หรือกรณีมีความจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยกเว้นหรือจนกระทั่งพระราชโอรสหรือพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองและดยุคจะทรงมีคุณสมบัติต้องตามที่บัญญัติไว้

และนอกจากดยุคจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว พระองค์ยังเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายของพระมหากษัตริย์ที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ด้วย

ต่อกรณีเจ้าฟ้าหญิงมากาเร็ต เซอร์เดวิด แม็กซ์เวล-ไฟฟ์ ได้กล่าวเพียงว่า เจ้าหญิงมากาเร็ตทรงเห็นด้วยอย่างเต็มพระทัยยิ่งที่จะให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใน พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเขาได้ย้ำด้วยว่า รัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการสื่อสารจากสมเด็จพระราชินีฯ ไปยังรัฐสภาเพื่อให้มีการบัญญัติเป็นกฎหมาย ซึ่งประเด็นนี้ยืนยันหลักการของประเพณีการปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของอังกฤษที่ว่า องค์พระประมุขไม่สามารถมีพระราชดำรัสโดยตรงต่อรัฐสภาโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากคณะรัฐมนตรีในการนั้น

และใน พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ.1937 ฉบับแก้ไข ค.ศ.1953 ได้บัญญัติให้สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ สมเด็จพระราชชนนี (Queen Elizabeth the Queen Mother) ทรงอยู่ในลำดับชั้นของบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดินด้วย และกำหนดให้ผู้อยู่ในลำดับแรกที่จะสืบราชสันตติวงศ์หรือว่าที่บรรลุนิติภาวะเมื่ออายุ 18 ปี และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือสมาชิกสภาสำเร็จราชการแผ่นดินได้

และการแก้ไข พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฉบับนี้ก็มีประเด็นที่ไม่ต่างจากการแก้ไข พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในปี ค.ศ.1943 นั่นคือ เป็นการออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่ละกรณีๆ ไป ไม่ต่างจากการออกกฎหมายในประเด็นดังกล่าวนี้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าก่อนหน้า พ.ร.บ. ปี ค.ศ.1937