ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
ผู้เขียน | ปกรณ์เกียรติ ดีโรจนวานิช |
เผยแพร่ |
เรื่องราวของปรีดี พนมยงค์ เป็นที่รู้จักกันดีมากแล้วในสังคมไทย หลังการกลับสู่เมืองไทยอีกครั้งในฐานะ “พ่อปรีดี”
ชีวิตและผลงานของปรีดี พนมยงค์ ก็ถูกตีพิมพ์อย่างแพร่หลายขึ้นมาก จนเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง
โดยมากคนส่วนใหญ่มักรู้จักปรีดี พนมยงค์ จากบทบาทสมาชิกคณะราษฎร ในฐานะผู้นำสายพลเรือนหรือเป็นมันสมองของคณะราษฎร
แต่เรื่องของนายปรีดี พนมยงค์ ในวัยหนุ่ม ก่อนทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กลับไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก
อาจเนื่องด้วยมิได้มีเรื่องราวโลดโผนเท่ากับบทบาทในช่วงเป็นผู้ก่อการและหลังจากนั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร วีรกรรมของปรีดีหนุ่มที่กล้ายืนประจันหน้ากับตัวแทนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ฝรั่งเศส ก็ยังเป็นเรื่องราวที่สมควรได้รับการกล่าวถึงในฐานะจุดเริ่มต้นการปฏิวัติของนักปฏิวัติคนสำคัญผู้นี้
เด็กชายปรีดี พนมยงค์
จากนักเรียนบ้านนอก
สู่นักเรียนนอก
คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่ในหมู่ผู้สนใจประวัติศาสตร์การเมืองว่า ปรีดี พนมยงค์ เป็นเด็กบ้านนอก เกิดในครอบครัวของนายเสียงและนางลูกจันทร์ พนมยงค์ วิ่งเล่นและเติบโตอยู่แถวท่าวาสุกรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หัดอ่านเขียนเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง แล้วไปเรียนต่อกับหลวงปราณีฯ (เปี่ยม) ก่อนจะเข้าศึกษาในโรงเรียนประจำอำเภอ แล้วไปสำเร็จการศึกษาระดับสูงที่โรงเรียนตัวอย่างในชั้นมัธยม 6 จึงเก็บกระเป๋าเข้ากรุง ไปเรียนต่อที่สวนกุหลาบอีก 6 เดือน
ครั้นเป็นหนุ่มใหญ่ได้ที่ ก็หอบตำรับตำรา มอบตัวแก่ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม ใน พ.ศ.2460 ก่อนจะใช้เวลา 2 ปี สอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในอายุเพียง 19 ปี
และต่อมาใน พ.ศ.2463 เขาก็มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้เป็นสมาชิกสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา
จนกระทั่งเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ปรีดีหนุ่มก็ได้รับทุนจากกระทรวงยุติธรรมให้ไปศึกษาต่อวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส ในวัย 20 ปีเท่านั้น
ปรีดีหนุ่ม กับสมาคม S.I.A.M.
หลังจากที่ปรีดีหนุ่ม เดินทางถึงประเทศฝรั่งเศสและได้เข้าศึกษาตามทุนที่ได้รับจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว
ในระหว่าง พ.ศ.2466-2467 นี่เอง ปรีดีหนุ่มได้ก่อตั้งสมาคม S.I.A.M. หรือ สามัคยานุเคราะห์ ร่วมกับนักเรียนทุนไทยในยุโรป เพื่อดูแลชีวิตความเป็นอยู่และรักษาผลประโยชน์ของนักเรียนทุนไทยในยุโรปทั้งหมด
กิจกรรมที่สำคัญสมาคม S.I.A.M นอกจากจะเป็นการดูแลความเป็นอยู่ของนักเรียนทุนในยุโรปแล้ว ยังได้จัดกิจกรรมพบปะพูดคุย จัดงานเลี้ยง เล่นกีฬา ฝึกซ้อมอาวุธต่างๆ ร่วมไปถึงการปาฐกถาโต้วาที และการแสดงละครเสียดสีการเมืองด้วย
ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีจากสมาชิกสมาคม
เผชิญหน้ากับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ครั้งแรก
ใน พ.ศ.2468 ปรีดีหนุ่มเป็นเลขาธิการสมาคม เขาได้จัดการประชุมระหว่างหยุดฤดูร้อน โดยเขาได้เสนอในที่ประชุมถึงการทำงานของพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตไทยประจำฝรั่งเศสและมีหน้าที่ดูแลนักเรียนทุนไทย (ผู้เป็นตัวแทนของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ว่า มีความไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง และดูแลเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนไทยในฝรั่งเศสไม่ถูกต้อง เนื่องจากค่าเงินตกต่ำลงอยู่เรื่อยๆ และเงินทุนที่นักเรียนทุนได้รับในทุกๆ วัน ก็ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย จึงสมควรที่นักเรียนทุนไทยจะทำหนังสือเสนอต่อพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ให้เพิ่มเติมเงินค่าใช้จ่ายต่อนักเรียนที่มีเงินไม่พอใช้
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระองค์เจ้าจรูญหาทางกำจัดปรีดีหนุ่ม จึงโทรเลขกลับไปฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ว่าปรีดีหนุ่มทำตัวเหมือนหัวหน้าสหภาพแรงงาน โดยยุยงให้นักเรียนเรียกร้องเงินเดือนเพิ่มเติม และขัดคำสั่งอัครราชทูต
แต่ปรีดีหนุ่มและสมาชิกสมาคมได้ส่งหนังสือไปกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า การกระทำของปรีดีหนุ่มมีความผิด เพราะก่อการยุยงให้กระด้างกระเดื่องต่ออัครราชทูต จึงให้มีการเรียกนายปรีดี พนมยงค์ กลับประเทศทันทีโดยไม่ต้องรอให้ศึกษาจนจบหลักสูตร
แต่ทว่าในระหว่างนั้น บิดาของนายปรีดีได้ทูลเกล้าฯ ฎีกาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ให้อนุญาตให้ปรีดีหนุ่มศึกษาต่อจนจบแล้วจึงค่อยเรียกตัวกลับ
ในเวลาต่อมาพระองค์จึงทรงกลับพระบรมราชวินิจฉัย โดยอนุญาตให้นายปรีดีเรียนต่อให้จบ และต้องทำหนังสือขอประทานโทษต่อพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากรในการที่ได้ขัดขืนคำสั่งของอัครราชทูต
การก่อการเรียกร้องของนายปรีดีในครั้งนี้ ได้ส่งผลดีต่อนักเรียนทุนไทยในฝรั่งเศส เพราะได้ทำให้พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากรต้องเพิ่มเงินเดือนให้แก่นักเรียนทุนไทยให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
ทัณฑ์บนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พันธนาการได้แต่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่มิอาจล่ามตรวนจิตใจและสติปัญญาของนักปฏิวัติหนุ่มได้ นายปรีดีผู้ใฝ่ประชาธิปไตยและมิตรสหาย ได้เปิดการประชุมที่บ้านพักเลขที่ 9 ถนนซอเมอราร์ ณ กรุงปารีส ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2469
และนั่นคือแรกกำเนิดของคณะราษฎรและประชาธิปไตย…