อนุสรณ์ ติปยานนท์ : In Books We Trust (11) ความทรงจำที่สาบสูญ

 

In Books We Trust (11)

ความทรงจำที่สาบสูญ

 

เช้าวันหนึ่ง คุณเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือ ตั้งใจจะหยิบหนังสือบางเล่มขึ้นอ่านในวันที่คุณอยากอยู่กับตนเอง

แต่หนังสือเล่มที่คุณปรารถนาไม่อยู่ที่นั่น คุณมองหามันตามที่ต่างๆ บนชั้น ชั้นแล้วชั้นเล่า มุมแล้วมุมเล่า แต่หนังสือเล่มดังกล่าวไม่อยู่ที่นั่น

คุณนั่งนึก เดิน หรือกระทำหลายอย่างไปพร้อมกับการขบคิดถึงตำแหน่งของหนังสือเล่มนั้น ของความทรงจำสุดท้ายที่คุณมีต่อมัน แต่คุณไม่อาจนึกสิ่งใดออกได้

ถึงตอนนั้นเอง คุณรู้สึกสิ้นหวัง คุณได้ล่วงรู้ตัวแล้วว่าคุณได้ทำหนังสือเล่มนั้นสูญหายไป

เหมือนการทำปลาตัวใหญ่ตกน้ำลงไปต่อหน้าต่อตาก่อนได้เวลาปรุงอาหาร

ในยามปกติคุณหาได้ต้องการบริโภคปลาตัวนั้น แต่เมื่อคุณเห็นปลาตัวดังกล่าวพลัดหลุดมือไป ความปรารถนาที่จะลิ้มรสปลาตัวนั้นของคุณรุนแรงขึ้น

คุณครุ่นคิดถึงการซื้อเบ็ด สวิง ยอ หรือจนกระทั่งการโจนลงไปในน้ำ กะเกณฑ์ผู้คนมากมายให้ล้อมหาปลาตัวดังกล่าว

ความผิดหวังสร้างจินตนาการมากมายต่อปลาตัวนั้นและรสชาติมัน

จินตนาการดังกล่าวปลุกเร้าคุณค่าของปลาที่ว่าจนสูงส่งเกินบรรยาย ความผิดหวังที่มีทำให้ชีวิตที่เหลือของคุณหลงใหลและหมกมุ่นอยู่กับการได้มันคืนมา

 

เช่นเดียวกัน หนังสือที่สูญหายไปจากชั้นหนังสือเล่มนั้นให้ความรู้สึกต่อคุณไม่แตกต่างกัน

หนังสือที่สูญหายไปจากสายตาในยามที่คุณต้องการอ่านมันสร้างความรู้สึกและจินตนาการของคุณต่อมันอย่างยากจะบรรยาย

คุณพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในหนังสือแต่ก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นเต็มที

คุณพยายามนึกถึงชื่อของตัวละครแต่มันก็ติดอยู่เพียงที่ริมฝีปาก คุณพยายามวาดแบบของหน้าปกเพื่อทบทวนความทรงจำ

แต่คุณก็ได้เพียงภาพร่างไร้สาระ หนังสือเล่มนั้นได้หายไปในสายหมอกและคุณโหยหามันอย่างสุดใจ

หากเป็นหนังสือที่วางตลาดไม่นานเพียงใดนัก คุณแทบจะรอไม่ไหวที่จะมุ่งตรงไปยังร้านหนังสือ หยิบมันออกจากที่จัดแสดง จ่ายเงิน ตรงกลับมายังที่พักและกระโจนลงบนเตียงเพื่ออ่านมัน

หากเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์มาแล้วเนิ่นนาน คุณค้นหามันไปตามร้านหนังสือทุกร้านที่คุณผ่านไปพบ

ในยุคปัจจุบันคุณยังพึ่งพาการค้นหาในระบบอินเตอร์เน็ตอีกทางด้วย

คุณใส่รายชื่อหนังสือ คลิกหน้าต่างๆ กลับไปกลับมา หากโชคเป็นของคุณ คุณได้รับความสมหวัง หนังสือเล่มดังกล่าวปรากฏตัวขึ้น ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันจะไร้อุปสรรคสำหรับคุณ

ราคาหนังสือที่สูงลิบลิ่วจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระ

ความหนาที่อาจทำให้ดวงตาของคุณพิกลพิการไม่ใช่สิ่งสำคัญ

คุณยอมทุ่มเงินเท่าที่มีให้เป็นค่าตัวของมัน คุณยอมทุ่มเทเวลาที่เหลืออยู่เพื่ออ่านมัน

คุณเฝ้ารอวันที่พัสดุดังกล่าวจะเดินทางมาถึงราวกับการรอคอยคนรักที่จากไปก็ไม่ปาน

 

แต่หากหนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือที่สาบสูญไปอย่างแท้จริงเล่า คุณจะทำฉันใด หากมันถูกพิมพ์ด้วยจำนวนเล็กน้อยในยุคสมัยของมัน ในยุคสมัยที่ผู้คนไม่นิยมเรื่องเล่าเช่นนั้น ชะตากรรมของมันคงผิดแผกไป

ในที่สุดวาระสุดท้ายของมันคงอยู่ที่โรงแยกกระดาษโรงใดสักโรง จำนวนของมันที่หลงเหลืออยู่อาจเป็นจำนวนหลักสิบหรือหลักร้อย แต่จำนวนเท่านั้นไม่มีความแตกต่างในโลกอันกว้างใหญ่

มันหมายความว่าหนังสือเล่มดังกล่าวอาจติดค้างอยู่ในซอกหลืบในบ้านของใครสักคน หรือไม่ก็นอนสงบนิ่งในห้องสมุดที่คร้านแม้แต่จะทำบัญชีบันทึกรายชื่อของมัน

คุณค้นหามันวันแล้ววันเล่าก่อนจะจบลงด้วยความสิ้นหวังและนับจำนวนวันในชีวิตที่มีต่อไปภายหน้าเป็นจำนวนจริงที่คุณคาดว่าจะได้พบมันอีกครั้งหนึ่ง

ในภาพยนตร์เรื่อง Serendipity ตัวละครเอกฝ่ายหญิงจดเบอร์โทรศัพท์ของเธอลงบนหนังสือเล่มหนึ่งและนำไปขายให้กับร้านหนังสือมือสอง หากแม้นตัวเอกชายได้พบกับหนังสือเล่มดังกล่าว เธอจะตัดสินใจครองชีวิตคู่กับเขา

ชายหนุ่มผู้นั้นจึงกลายเป็นบุคคลที่เข้า-ออกร้านหนังสือทุกเมืองที่เขาผ่านไป พลิกหนังสือปกที่ว่านั้นแทบทุกครั้งที่เขาพบเจอมัน แต่ไร้ผล ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวคนดังกล่าวที่เขาปรารถนา

เขาเลิกล้มความตั้งใจ เริ่มต้นคบหากับหญิงสาวอีกคน ก่อนจะตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับเธอ

แต่แล้วของขวัญที่ได้จากคนรักของเขาก่อนการแต่งงาน (ด้วยความสงสัยว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่เคยซื้อหนังสือเล่มดังกล่าวทั้งที่หยิบมันขึ้นดูทุกครั้ง) คือหนังสือเล่มดังกล่าว

และภายในหนังสือเล่มนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของเธอ

หนังสือเล่มนั้นคือ Love in the Yime of Cholera ของการ์เบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นักเขียนรางวัลโนเบลชาวโคลอมเบีย เรื่องราวของหนังสือเล่าถึงความรักที่ต้องผ่านการอดทนรออย่างยาวนานจนกว่าจะสมหวังในที่สุด

ตัวละครเอกฝ่ายชายคงรับรู้ได้ในภายหลังว่าเพราะเหตุใดเธอจึงเลือกหนังสือเล่มนี้เพื่อบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของเธอ

แต่นั่นไม่สำคัญ การรอคอยของพวกเขาผ่านการตามหาหนังสือบรรลุผลแล้ว

 

ในวัยเด็ก ฤดูร้อนหนึ่ง บ้านของผมถูกต่อเติม จากระเบียงที่เคยใช้ขึ้นลงถูกแปรเปลี่ยนเป็นชานเรือนที่ใช้เชื่อมต่อกับบ้านหลังใหม่

ในช่วงเวลานั้น เสียงต่อเติมบ้าน เสียงตะปูถูกตอกลงกับฝา เสียงเลื่อยไม้ เสียงไสกบ เป็นเสียงที่เราทุกคนภายในบ้านคุ้นชินกับมันเป็นอย่างดี

การต่อเติมบ้านในครั้งนั้นกินเวลาราวสองเดือน และแล้วในที่สุดพวกเราก็ได้บ้านใหม่อีกหนึ่งหลัง ทุกคนในบ้านได้ห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองแทนการต้องนอนเรียงกันในมุ้งขนาดใหญ่ที่ห้องโถง

ผมยึดห้องชั้นบนที่เปิดหน้าต่างไปจะเห็นสวนริมรั้วเบื้องนอก มันเป็นห้องที่ไม่มีใครจับจองเพราะมีขนาดเล็กที่สุด

ในวันแรกที่ผมย้ายสิ่งของของตนเองขึ้นไปเก็บในห้อง กลิ่นทินเนอร์จากฝาห้องและเตียงไม้ส่งสัญญาณทักทายผม

ไม่นับกองหนังสือกองหนึ่งที่รอต้อนรับผมราวกับของขวัญ

หนังสือชุดนั้นเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของนักเขียนนาม “ลพบุรี” (ผู้ที่ผมทราบนามจริงของท่านในภายหลังว่าคือ ชุ่ม ณ บางช้าง)

หนังสือชุดนั้นมีขนาดกว้างยาวเท่าหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กทั่วไป ไม่หนามากและไม่ใหญ่ จำนวนของมันมีหลายเล่ม แม้ว่าจะไม่ครบทุกเล่มก็ตามที มันน่าจะเป็นหนังสือที่คนงานคนหนึ่งแอบขึ้นเอามันมานอนอ่านในยามบ่ายที่พักงาน และในวันสุดท้ายของการงาน เขาลืมนำมันติดตัวกลับไปด้วย

หนังสือชุดดังกล่าวมีบางปกที่วาดภาพนักรบชายหน้าตาคมสันบนหลังม้า มีบางปกวาดภาพเขาในระหว่างการประดาบ และมีบางปกที่วาดภาพเขาในระหว่างการเดินชมสวน และมีบางปกที่อาจเป็นภาพวาดของเขาบนตัวกำแพงเมือง

ผมจำปกและเนื้อในของหนังสือชุดดังกล่าวได้เพียงเลาๆ และไม่อาจแน่ใจอะไรได้เลย

สาเหตุที่ผมกล่าวว่าผมจดจำหนังสือชุดนี้และรายละเอียดต่างๆ ได้น้อยเต็มที นั่นเป็นเพราะหนังสือชุดดังกล่าวได้หายสาบสูญไปจากผม ในช่วงเวลาของการเข้าค่ายลูกเสือครั้งหนึ่งผมหยิบหนังสือชุดนั้นติดตัวไปด้วยหลังจากอ่านมันจบแล้วรอบหนึ่ง ความตั้งใจของผมคือการจะได้อ่านมันอีกสักครั้งเป็นการฆ่าเวลา

แต่แล้วเมื่อมาถึงวันสุดท้ายของการเข้าค่าย ในขณะที่เสียงรถบัสของโรงเรียนติดเครื่องดัง ผมก็ฉวยเป้สะพายวิ่งมาขึ้นรถ หลงลืมหนังสือชุดดังกล่าวแบบเดียวกับที่ช่างผู้ต่อเติมบ้านของผมเคยหลงลืมมันในอดีต

หนังสือชุดดังกล่าวหายสาบสูญไปจากผมนับแต่วันนั้น

 

เรื่องราวในหนังสือพูดถึงสงครามในดินแดนแห่งหนึ่งอาจเป็นในไทยใหญ่หรือในพม่าหรือในลาว ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาเต็มที ตัวเอกของเรื่องเป็นชายหนุ่มรูปงามที่อาสาอาณาจักรของตนเองทำศึกไปทั่วจนพบกับราชธิดาของอีกอาณาจักรหนึ่งและตกหลุมรักเธอ

เขามีพี่-น้องหรือไม่ ผมจำได้น้อยเต็มที พ่อและแม่ของเขาคือใคร ผมจำไม่ได้เลย

และเนื่องจากหนังสือชุดนั้นมีจำนวนไม่ครบ เรื่องราวที่ผมจำได้จึงขาดการปะติดปะต่อเต็มที ผมจำตอนต้นและตอนกลางของเรื่องได้ไม่มากนัก จำได้เพียงแต่ตอนจบเพียงว่าตัวเอกทั้งคู่สมหวังกันในที่สุด

แต่นั่นเอง ความทรงจำที่ผมพูดถึงนี้เชื่อถือได้หรือ ในเมื่อผมไม่เคยได้อ่านหนังสือชุดนั้นอีกเป็นครั้งที่สองเลย

จินตนาการถึงเรื่องราวที่ขาดหายไปในหนังสือชุดนี้ดำรงอยู่กับผมอย่างเนิ่นนานแม้ในเวลาปัจจุบัน

ทุกครั้งที่ผมผ่านไปยังร้านหนังสือเก่าหรือร้านหนังสือมือสอง ผมจะค้นหางานเขียนของ “ลพบุรี”

และเมื่อพบแล้ว ผมจะอ่านเรื่องราวในนั้นสักเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบว่ามันคือนวนิยายที่ผมตามหาหรือไม่

ทว่าเมื่อปราศจากเค้าลาง

เมื่อไม่มีตัวเอกแบบที่ผมคุ้นชิน

เมื่อไม่มีความรักแบบที่ผมอิ่มเอิบใจในกาลก่อน ผมก็จะเก็บหนังสือเล่มดังกล่าวเข้าที่ของมัน

เนื้อหาในหนังสือที่ผมพบล้วนให้เพียงแต่ความแปลกหน้า และยิ่งกาลเวลาผ่านไปความปรารถนาของผมที่จะได้อ่านมันอีกครั้งก็รุนแรงขึ้นพอกันกับที่ความทรงจำที่ผมมีต่อมันกลับเลือนรางลง

 

เราจะได้พบหนังสือเล่มที่เราตามหาไหมในชีวิตนี้ นั่นคือปริศนาสำหรับนักอ่านทุกคน เราทุกคนล้วนเคยมีหนังสือเล่มที่สูญหาย

บางครั้งเราจดจำได้เพียงว่าเราให้ใครบางคนหยิบยืมมันไป แต่ใครบางคนคนใดเล่า บางครั้งเราจดจำได้ว่าหนังสือเล่มนั้นถูกปลวกทำลายไปและเราโยนมันทิ้งอย่างไม่ไยดีเพราะคาดคิดเอาเองว่าจะพบมันอีกได้ในอนาคตแต่ทว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

บางครั้งเราจดจำได้ว่าเราขายหนังสือเล่มนั้นไปในยามขัดสนและหมายมาดว่าเมื่อฐานะทางการเงินของเราดีขึ้นแล้วเราจะซื้อมันกลับคืนแต่น่าแปลกการณ์กลับเป็นว่าไม่มีใครขายหนังสือเล่มนั้นอีกเลย

ทุกหนังสือที่หายสาบสูญไปจากเราล้วนเป็นดังความทรมาน เป็นความทรมานทางใจที่ไม่ได้รับการตอบสนอง

เราคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นานาที่จะดลบันดาลให้หนังสือเล่มดังกล่าวโผล่พ้นออกจากหมอกกลับคืนมาหาเรา

ทว่าหมอกนั้นหนาทึบ และดูเป็นความจริงว่าชีวิตนี้เราจะไม่มีความสมหวัง