สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร/โยกและคลึง

สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————–

โยกและคลึง

————————–

ปรากฏการณ์ ใน ปรากฏการณ์

นั่นคือ การเปลี่ยนชื่อ เฟซบุค จาก “ย้ายประเทศกันเถอะ” (ก่อตั้งเมื่อ 1 พฤษภาคม)

มาเป็น เฟซบุค “โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย” (เปลี่ยนชื่อวันที่ 4พฤษภาคม)

เป็น”ตลกร้าย” และเป็นคำตอบหนึ่ง ว่า ทำไมความรู้สึกย้ายประเทศ จึงพุ่งทะยานขึ้นสูง

อย่างที่ทราบกัน กระแสย้ายประเทศกันเถอะ พุ่งทะยานแรง ภายในหนึ่งสัปดาห์ มีผู้ติดตาม9.4 แสนราย อาจจะทะลุล้านในเวลาอีกไม่นาน

แทนที่ รัฐบาล จะแสวงหาคำตอบว่าทำไมกระแสนี้มาแรง เพื่อหาทางรับมือและแก้ไข

แต่ สิ่งที่เราได้เห็นกลับเป็นความเห็นของรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)

“…(กระแส”ย้ายประเทศกันเถอะ”)แฝงด้วยประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มบางคนที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศมีพฤติกรรมชังชาติอยู่แล้ว มีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพื่อสร้างความแตกแยก และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กระทรวงดีอีเอสมีคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและติดตามการกระทำความผิดในสังคมออนไลน์อยู่แล้ว ก็ได้กำชับไปให้ตรวจสอบดูว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด”

ท่าทีซ้ำๆซากๆ ที่เอะอะ อะไรก็จะเอา “กฎหมาย”มาปิดปาก ปิดหู ปิดตานั้น

ถามว่าได้ผลหรือไม่

เพียงแค่ “คนรุ่นเยาว์” คลิกเปลี่ยนชื่อ นิดเดียว

ก็โยกย้ายส่ายสะโพกกันสนุก

ผู้มีอำนาจหลายคน อาจเหรอหราไปเที่ยวเปิดตำรากฎหมาย โยกย้ายส่ายสะโพก มีความผิดต่อความมั่นคงของชาติตรงไหน

นี่จึงเป็นตลกร้าย ที่ผู้มีอำนาจชอบออกมาเล่นโชว์ชาวบ้าน

ทำให้คนรุ่นใหม่ เขาส่ายหน้า

และถึงพากันชวนย้ายประเทศกันยกใหญ่นั่นไง

“นัย”ที่เหล่า เยาวภาพ ส่งสัญญาณให้ผู้มีอำนาจได้ทราบครั้งแล้วครั้งเล่าถึงสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง

ตั้งแต่ตรงไปตรงมาแบบ เยาวชนปลดแอก นักเรียนเลว กลุ่มราษฏร

แต่ผู้มีอำนาจ ก็ตีความ”นัย”ไม่ออก จึงตามคนรุ่นใหม่ไม่ทัน ถึงได้นำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นทั้งในส่วนเนื้อหา และรูปแบบ

ที่ผ่านมา สังคมจึงได้สัมผัสปรากฏการณ์ “เกิดมาไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น”เป็นระยะๆ

แน่นอนย่อมสร้างความแตกตื่น ตกใจ ให้กับ คนในโลกเก่า และยึดแนวทางอนุรักษ์อย่างยิ่ง

ด้วยรู้สึกถูกคุกคาม ถูกเขย่าสถานะที่มั่นคงมาเนิ่นนาน

จึงต้องจัดการ ขจัด ปราบปราม กวาดล้างเข้าคุก เสียใหม่หมด

ไม้ตายคือนำกฎหมายที่ถูกร่างโดยพวกเขาเอง หรือตีความโดยฝ่ายพวกเขาเอง มาเป็นเครื่องมือ

การกวาดจับและตั้งข้อหานานาสาระพันต่อคนรุ่นใหม่ จึงเกิดขึ้นอย่างที่เห็น

ซึ่งก็ได้ผลระดับหนึ่ง ที่สามารถลากเอาแกนนำบางส่วนเข้าไปอยู่ในคุกและเรือนจำ พร้อมๆกับเงื่อนไขอันยุ่งยากที่จะได้รับการประกันตัว

โดยหวังว่าจะสยบ กระแสความวุ่นวายของคนรุ่นใหม่ ที่มีจุดยืนอยู่ตรงข้ามได้

อาจจะจับตัวแกนนำบางส่วนไปขัง

แต่ถามว่าถอนรากถอนโคนได้หรือไม่

ตรงกันข้าม สังคมกลับได้เห็น ปรากฏการณ์ใหม่ๆถูกผลิตออกมาท้าทายผู้มีอำนาจ อย่างต่อเนื่อง

และพลอยส่งผลกระทบต่อ “สถาบันหลักของประเทศ”อย่าง”พันลึก”

แน่นอนรวมถึงกระแสอันแหลมคม “”ย้ายประเทศกันเถอะ”

ที่วันนี้กลายเป็น การส่ายสะโพก–โยกแล้วคลึง ต่อหน้า ผู้มีอำนาจ อย่างท้าทายอีกแล้ว!!