2503 สงครามลับ สงครามลาว (28)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (28)

 

“สิงห์” บันทึกความทรงจำต่อไป…

“ภูมิประเทศที่เดินทางเป็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับซับซ้อนล้อมรอบ เส้นทางแคบๆ คดเคี้ยวไป-มาแล้วก็ไปหยุด ณ บริเวณแห่งหนึ่ง ซ้ายมือเป็นที่ราบ ขวามือเป็นเนินเตี้ยๆ นายทหารติดต่อกองพันทหารปืนใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมา ชี้มือให้ไปพักที่เป็นเนินเตี้ยๆ ขวามือ บอกว่าเตรียมเข้าที่พักแรม

ในคืนวันนั้น สิ่งแรกคือสำรวจที่พักแรม โดยเฉพาะรอบๆ ที่ตั้งและกำหนดจุดระวังป้องกันเพื่อจัดชุดระวังป้องกันรอบที่พักแรมประมาณ 7-8 ชุดก็บังเกิดความขลุกขลักขึ้นเพราะยังไม่ได้รับการแจกจ่ายโทรศัพท์ระหว่างจุด สิงห์จึงไปแสวงหาเชือกจากชาวบ้านหลายขด ปลายขดเชือกแต่ละคนสิ้นสุดที่หัวหน้าชุดระวังป้องกัน ปลายเชือก 8 ขดอยู่ที่สิงห์ซึ่งพักอยู่ตรงกลางที่พักแรม การติดต่อกันก็ใช้การกระตุกเชือก การส่งคนไปเปลี่ยนเวรก็ใช้การกระตุกเชือกให้ชุดระวังป้องกันที่ที่พักแรมทราบล่วงหน้า

ก็เป็นอุทาหรณ์ว่าการแจกยุทโธปกรณ์ให้แก่ทหารเพื่อออกรบ ต้องแจกจ่ายตามความเร่งด่วน มิใช่จ่ายอะไรก็จ่ายเรื่อยไป โทรศัพท์ซึ่งควรเป็นสิ่งแรกที่จ่ายก็ไม่จ่าย จึงเป็นเช่นนี้”

วันรุ่งขึ้นคณะรองผู้บังคับกองร้อยปืนใหญ่เอสอาร์-1 ถูกพาไปยังที่ตั้งซึ่งอยู่ห่างจากที่พักแรมประมาณ 10 ก.ม. ที่ตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆ ทางขวาของเส้นทาง ทางซ้ายก็เป็นเนินเตี้ยๆ

“ด้วยจิตสำนึกของการป้องกันตัวอย่างแข็งแรง ‘สิงห์’ จึงพาผู้บังคับหมู่ปืนไปเลือกที่ตั้งยิงปืนใหญ่แต่ละกระบอกบริเวณหลังเนิน ทหารปืนใหญ่ข้าศึกยิงมาจะได้ติดหน้าเนิน พ้นหน้าเนินกระสุนปืนใหญ่ข้าศึกก็จะลอยข้ามศีรษะไปยังพื้นที่หลังเนิน หมู่ปืนใหญ่อยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ สิงห์ยังไปเลือกที่ตั้งอื่นบริเวณหลังเนินทั้งสิ้น หลังจากเลือกที่ตั้งต่างๆ ได้แล้ว ‘สิงห์’ ก็ประชุมหัวหน้าชุดต่างๆ สั่งว่าต้องขุดบังเกอร์ ขุดดินให้ดีที่สุด จะไม่เปิดการยิงเมื่อการดัดแปลงที่ตั้งยังไม่เรียบร้อยเป็นอันขาด

เนื่องจากไม่ทราบข่าวสารเกี่ยวกับภูมิประเทศและข้าศึก ‘สิงห์’ พยายามอย่างมากที่จะหาข่าวสารโดยได้สอบถามชาวบ้านบริเวณนั้น โดยเฉพาะขีดความสามารถในการยิงของข้าศึก

ก็ได้ทราบว่าปืนใหญ่ข้าศึกมีขีดความสามารถสูง ยิงได้แม่นยำมาก จึงกำหนดการปฏิบัติไว้ในใจว่าต้องสร้างบังเกอร์ให้แข็งแรงมากที่สุด

ระหว่างการขุดบังเกอร์อยู่นั้น หัวหน้านายทหารติดต่อของสหรัฐซึ่งพวกเราเรียกว่า ‘จัสแมก’ ได้เข้ามาดูที่ตั้งและสั่งให้เปิดการยิงในทันที ‘สิงห์’ ปฏิเสธการยิง บอกเขาไปว่า ได้สั่งให้ทุกหมู่ปืนอย่ายิงจนกว่าการสร้างบังเกอร์ทุกแห่งจะเรียบร้อย เขาก็เดินทางกลับไป

อีกไม่นานทาง บก.ได้ติดต่อมา ผู้ที่ติดต่อมาคือคนหนวดเฟิ้มที่มารับที่สนามบินดังที่เล่าให้ฟังตอนต้น เขาคือหัวหน้า บก. เขาสั่งให้ยิงตามที่จัสแมกสั่ง ‘สิงห์’ ไม่เต็มใจจะยิง แต่ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง

ขณะนั้นบังเกอร์ของทุกแห่งยังไม่มีแห่งใดแล้วเสร็จ มีเสร็จอยู่แห่งเดียวคือ ‘ศูนย์อำนวยการยิง กองร้อยปืนใหญ่’ ซึ่งอยู่กลางพื้นที่ มีต้นไม้ใหญ่อยู่เหนือศีรษะ ‘สิงห์’ อึดอัดใจมากเพราะที่ตั้งข้าศึกก็ไม่ปรากฏขึ้น จึงสั่งให้ยิงหา ‘หลักฐานประณีต’ ความจริงการยิงหาหลักฐานประณีตต้องมีพิกัดที่ตั้งยิง พิกัดที่หมาย (พิกัดทางแผนที่ทหาร) แต่ก็ไม่มีอะไรสักอย่าง

เมื่อดำเนินการยิงปืนใหญ่หมู่ 2 ไปได้ประมาณ 10 นาทีก็ถูกข้าศึกยิงปืนใหญ่ตอบโต้มาราวห่าฝน ทราบภายหลังว่าเป็นกองพันหรืออาจหลายกองพัน กำลังพลของกองร้อยเอสอาร์หมอบลงกับพื้นดินกันทุกคน บังเกอร์ซึ่งขุดเสร็จแล้วได้มีกำลังพลจากที่อื่นวิ่งเข้าไปสะสมในบังเกอร์จนเต็มบังเกอร์ ‘สิงห์’ ก็ถูกทับอยู่ภายในบังเกอร์ด้วย

ขณะนั้นปืนใหญ่ของกองร้อยเอสอาร์ได้หยุดทำการยิงโดยอัตโนมัติ เพราะสายโทรศัพท์ที่ใช้สั่งการยิงจาก ศอย.ไปยังหมู่ปืนซึ่งวางทอดไปตามพื้นดินถูกสะเก็ดระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ข้าศึกตัดขาดหมดทุกเส้น

ข้าศึกทำการยิงจนหนำใจ ‘สิงห์’ สำรวจความเสียหายปรากฏว่าทหารทุกคนปลอดภัย มีบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดที่ไหล่เพียงคนเดียว สิงห์ได้โทรศัพท์ให้หัวหน้า บก.ทราบ และขออนุญาตไม่ยิงจนกว่าการขุดบังเกอร์ที่ตั้งจะเรียบร้อย หัวหน้า บก.อนุมัติ

ระหว่างนั้นผู้ตรวจการหน้าปืนใหญ่ได้พูดกับหัวหน้า บก.ขออนุมัติกลับไปยังส่วนหลัง (บก.) โดยกล่าวว่า กองร้อย ป.สลายแล้ว เพราะเขาเห็นว่าเมื่อปืนใหญ่ข้าศึกยิงที่ตั้งของฝ่ายเราอย่างหนักนั้น กลุ่มควันตำบลระเบิดได้พวยพุ่งเหนือที่ตั้งร้อย ป.เอสอาร์ อย่างมากมาย

‘สิงห์’ ได้ยินคำพูดนี้ถึงหัวหน้า บก.เอสอาร์ จึงพูดกับนายทหารตรวจการณ์หน้าว่า ให้ประจำที่อยู่ต่อไป ร้อย ป.เอสอาร์ ยังไม่มีใครเป็นอะไร ขณะนี้กำลังขุดบังเกอร์อย่างหนัก”

 

เอาคืน

“ข้าศึกคงเข้าใจว่ากองร้อย ป.เอสอาร์ เสียหายอย่างหนัก อาจละลายจากการยิงของเขาจึงได้ประมาทชะล่าใจมีการเคลื่อนไหวต่างๆ อยู่ในพื้นที่อย่างมากมาย ผู้ตรวจการณ์หน้าของฝ่ายเราเห็นพฤติกรรมนี้โดยตลอดได้พูดวิทยุกับ ‘สิงห์’ ว่าเห็นพฤติกรรมของข้าศึกโดยตลอด

‘สิงห์’ บอกให้ผู้ตรวจการณ์หน้ากำหนดพิกัดของทุกพฤติกรรมของข้าศึกโดยละเอียดและส่งให้กองร้อยเอสอาร์ทราบพิกัด

‘สิงห์’ สั่งให้เจ้าหน้าที่หาหลักฐานการยิงไว้ทุกพิกัดแล้วส่งหลักฐานการยิงไปยังทุกหมู่ปืน จะทำการยิงพร้อมกันทุกกระบอก

‘สิงห์’ เห็นว่าถ้ายิงพร้อมกันทุกกระบอกในครั้งหนึ่งจะก่อให้เกิดพื้นที่ของความเสียหายในการยิงเป็นพื้นที่กว้าง 50 เมตร (1 ตำบลระเบิด) และยาว 180 เมตร (หมู่ปืนตั้งห่างกัน 20 เมตร) เรียกว่า 1 ฉากการยิง เราสร้างฉากการยิง 3 ฉาก รวมเป็นพื้นที่แห่งความเสียหายเท่ากับ 3 x 50 x 180 เท่ากับ 27,000 ตารางเมตร ในพื้นที่เป้าหมายข้าศึก จะมีพื้นที่ประกอบด้วย 3 ฉากการยิงมากมายหลายฉากครอบคลุมพื้นที่มหาศาล

ในที่สุดก็ถึงเวลายิงโจมตีของฝ่ายเรา สิงห์ได้ขออนุมัติ บก.ยิงในเวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ออกคำสั่งยิงไปยังหมู่ปืนว่า “ยิง” เท่านั้น เพราะหลักฐานการยิง หมู่ปืนต่างๆ ได้รับไว้เรียบร้อยแล้ว

การยิงได้ดำเนินต่อไปจนถึงค่ำและดำเนินต่อไปข้ามคืน และดำเนินต่อไปในวันรุ่งขึ้นจึงยุติการยิงในเวลาประมาณ 13.00 น.

ตลอดเวลาการยิงได้รับการยิงโต้ตอบจากข้าศึกประปราย แต่กองร้อยไม่ได้เสียหายเพราะที่ตั้งแข็งแรงดีแล้ว

ในวันต่อมา ได้รับข่าวความเสียหายของข้าศึกมากมายมหาศาล ปืนใหญ่ข้าศึกถูกทำลาย 14 กระบอก อีก 4 กระบอกถูกทำลายเพราะการยิงรบกวนและขัดขวางของฝ่ายเรา กำลังพลบาดเจ็บล้มตายอีกเป็นจำนวนมาก

บก.ได้ทำการขยายผลทันที สั่งให้กองร้อยปืนใหญ่เอสอาร์ เคลื่อนที่เข้าที่ตั้งยิงไปยังที่ตั้งยิงข้างหน้าห่างจากที่ตั้งยิงเดิม 10 ก.ม. ‘สิงห์’ นำ ผบ.หมู่ปืน 6 คน พร้อมพลประจำปืน บรรทุกรถพร้อมเครื่องมือขุดดินไปเลือกที่ตั้งยิง ทำบังเกอร์หลุมปืน และบังเกอร์ ศอย. ในตอนเช้า ทิ้งรอง ผบ.หมู่ปืนไว้กับหมู่ปืน ‘สิงห์’ ได้นำลูกน้องไปทำบังเกอร์ 2 วัน

เช้าของวันที่ 3 ‘สิงห์’ ก็นำลูกน้องไปอีก ก็ต้องเสียเวลาต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมกองร้อย ป. และสนทนากันนานพอสมควร”

 

วันดวล

“ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ข้างหน้าอย่างโกลาหล เมื่อสงบลง ‘สิงห์’ สั่งให้ ผบ.หมู่ ป. 1-2 คนลอบเดินทางไปยังที่ตั้งยิงใหม่ข้างหน้า ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ผบ.หมู่ ป.กลับมารายงานว่า ที่ตั้งยิงข้างหน้าถูกกระสุนปืนใหญ่ข้าศึกทำลายเสียหายมาก ไม่สามารถใช้ทำการยิงได้อีกต่อไป

‘สิงห์’ ได้รายงานเหตุการณ์ให้ บก.ทราบ สั่งให้ไม่ต้องเปลี่ยนที่ตั้งยิงใหม่ ให้อยู่ที่เดิม และดัดแปลงที่ตั้งให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นเหตุการณ์ต่อไป

กองร้อยเอสอาร์ได้ถูกปืนใหญ่ข้าศึกระดมยิงทุกวัน แต่ข้าศึกได้เปลี่ยนที่ตั้งยิงเสมอมิให้ฝ่ายเราทราบที่ตั้ง ป.ข้าศึกได้ โดยใช้ ป.ระยะยิงไกลกว่า ปบค.105 ของไทย

นอกจากนี้ ยังใช้รถถังเข้ามายิงใกล้ๆ บางครั้งก็เข้ามายิงใกล้มาก ‘สิงห์’ ได้สอบถามเกี่ยวกับขีดความสามารถรถถัง ก็ทราบว่ารถถังข้าศึกมีขีดความสามารถสูง สามารถปีนลาดที่สูงชันได้และแล่นไปในน้ำได้

‘สิงห์’ ได้พิจารณาเห็นว่ารถถังข้าศึกมีความสามารถสูงเช่นนี้จะสามารถเคลื่อนที่เข้าประชิดที่ตั้งยิงของฝ่ายเราได้ สามารถเข้ามาจ่อยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเราได้ จึงได้รายงานไปยัง บก.ขอรับการสนับสนุนทุ่นระเบิดดักรถถังจำนวนหนึ่ง

แต่หน่วยเหนือไม่ให้การสนับสนุน คงไม่เชื่อว่ารถถังข้าศึกจะมีขีดความสามารถดังกล่าว

‘สิงห์’ ได้ขอรับการสนับสนุน ปกค. 155 ม.ม.จากหน่วยเหนือ เนื่องจากปืนใหญ่ที่มีอยู่ (ปบค. 105 ม.ม.) ยิงไม่ถึงปืนใหญ่ข้าศึก หน่วยเหนือจึงอนุมัติให้การสนับสนุน ปกค. 155 ม.ม. ยิงได้ไกล 14,600 เมตร จำนวน 4 กระบอก

บก.สั่งให้ ‘สิงห์’ ไปหาที่ตั้งยิงให้แก่ ปกค.ใหม่ ‘สิงห์’ ก็ไปเลือกที่ตั้งยิงบริเวณพื้นที่ด้านซ้ายของที่ตั้ง ปบค. 105 ม.ม. ซึ่งเป็นเนินเขาเตี้ยๆ

เลือกที่ตั้ง ปกค. 155 ม.ม. แต่ละกระบอกบริเวณหลังเนินเช่นเคย แต่ระยะห่างระหว่างหมู่ปืนน้อยกว่าของ ปบค. 105 เนื่องจากพื้นที่จำกัด”

 

เฉียดตาย

มีเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างการนำ ปกค. 155 ม.ม. เข้าที่ตั้งยิงใหม่ ‘สิงห์’ เข้าควบคุมอยู่ที่หมู่ 1 พลประจำปืนก็ได้ดำเนินการขุดบังเกอร์ ป. และพลประจำปืนลดลงไประดับคอ (เมื่อนั่งคุกเข่า) ทันใดนั้นผู้ตรวจการณ์หน้าก็ส่งข่าวให้ทราบว่า ข้าศึกได้ยิงปืนใหญ่มาแล้ว กระสุนนัดแรกยิงมาติดด้านหน้าของเนิน นัดต่อมาก็ลงด้านหลังและใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังเรื่อยๆ ‘สิงห์’ ได้ยินเสียงหวีดทุกนัด

ในที่สุดก็ได้เผชิญหน้ากับนัดสำคัญได้ยินเสียงหวีดใกล้มาก ‘สิงห์’ เห็นว่าจะไม่ได้การ ‘สิงห์’ พร้อมกับลูกน้องอีก 1 คนกระโดดลงในหลุมและหมอบให้ต่ำที่สุด กระสุนตกลงหลังบังเกอร์ห่างจากที่หมอบอยู่ประมาณ 10 เมตร แต่ไม่เป็นอันตรายเพราะบังเกอร์ได้กันสะเก็ดระเบิดเอาไว้

กำลังพลคนอื่นได้รายงานให้ทราบว่ากระสุนของข้าศึกได้ตกลงหลังของ ‘สิงห์’

หัวหน้า บก.ก็ได้โทรศัพท์สอบถาม ‘สิงห์’ ด้วยความห่วงใยว่า เป็นอันตรายอย่างไร หรือไม่

‘สิงห์’ ก็แจ้งไปว่าไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด