ปฏิบัติการไซโค ‘บิ๊กตู่’ อีกาสีดำ-ทหารหัวแดง สะเทือนไทยคู่ฟ้า ‘นายตู่-น้องหนู’ เคลียร์ใจ กอดคอสู้ ส่องอนาคต ‘ธรรมนัส’ หลังฟ้าเปิด/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

ปฏิบัติการไซโค ‘บิ๊กตู่’

อีกาสีดำ-ทหารหัวแดง

สะเทือนไทยคู่ฟ้า

‘นายตู่-น้องหนู’ เคลียร์ใจ กอดคอสู้

ส่องอนาคต ‘ธรรมนัส’ หลังฟ้าเปิด

 

บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำลังแสดงออกถึงความหวั่นไหวต่อสถานการณ์การเมือง ที่ได้รับผลกระทบอย่างแรงจากโควิดระลอก 3

หลังการโพล่งกลางที่ประชุม ครม. ขู่รัฐมนตรีที่แอบนินทาตนเอง ถึงขั้นจะปรับออกจาก ครม. และยึดโควต้า อันเป็นการสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาล และไม่มั่นใจในตัวเองของ พล.อ.ประยุทธ์

ยิ่งโดยลักษณะนิสัยของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่ชอบเก็บอารมณ์ความรู้สึกด้วยแล้ว เมื่อเอ่ยปากเช่นนี้ ย่อมกระทบความสัมพันธ์ ไม่ว่า รมต.ที่นินทานายกฯ จะเป็นใครก็ตาม

แม้ รมต.หลายคนจากหลายพรรคจะอยู่ในข่ายต้องสงสัยว่านินทานายกฯ โดยเฉพาะกรณีพรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจคำสั่งแบ่งจังหวัดให้ รมต.รับผิดชอบของนายกฯ โดยเฉพาะที่ให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คุมภาคใต้

แต่ที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็ยอมยกเลิกคำสั่ง แล้วให้ออกคำสั่งใหม่ เปิดช่องให้ รมต.แจ้งความประสงค์ หรือสลับจังหวัดกันได้ ที่ถูกมองว่า ยอมถอยให้พรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความไม่พอใจ ทั้งนี้ ก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายในรัฐบาล ในยามที่ต้องทำศึกโควิด

ในขณะเดียวกัน เสี่ยหนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ตกเป็นหนึ่งใน รมต.ต้องสงสัยที่นินทานายกฯ

ในช่วงที่นายอนุทินถูกกดดันให้ลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิดและวัคซีน เสมือนนายอนุทินเป็นแพะรับบาปแทนนายกฯ แถมลูกพรรคก็ออกมาสะกิดเหน็บแนมนายกฯ

จนนายอนุทินต้องออกตัวว่า “จะอดทน เพราะตอนเข้าผมก็ขอเขามาที่นี่ ถ้าจะไป ผมก็ขอไปด้วยตัวเอง ถ้ามันไม่ไหว ผมไม่อยู่หรอก”

ก่อนที่จะโยนกลับไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า นายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชา และตนเองก็ทำตามที่นายกรัฐมนตรีสั่ง จนถึงมองว่า เป็นการตอบโต้กลับ พล.อ.ประยุทธ์

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะให้ ครม.โอนอำนาจตามกฎหมายต่างๆ 31 ฉบับให้นายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีอำนาจและรวมศูนย์ แก้ปัญหาให้รวดเร็วขึ้น

แต่ก็ถูกมองว่า จงใจยึดอำนาจนายอนุทิน เพราะเป็นกระทรวงหลักในการแก้ปัญหาโควิด

ส่งผลให้บรรยากาศความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประยุทธ์กับนายอนุทินตึงเครียด แถมสื่อก็ตีข่าวกันครึกโครม

จนที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ต้องสยบข่าวกลางที่ประชุม ศบค. ว่า ไม่ได้ต้องการยึดอำนาจใครหรือรวบอำนาจไว้คนเดียว แต่เพื่อการแก้ปัญหาที่รวดเร็ว และเป็นการชั่วคราวเท่านั้น

จนนายอนุทินอาศัยโอกาสนี้ตัดจบกระแสข่าวร้าว ด้วยการยืนยันว่า ไม่เคยรู้สึกว่านายกฯ รวบอำนาจ ทำงานร่วมกันมาเกือบ 2 ปีเป็นไปด้วยดี มีการพูดคุยหารือกันโดยตลอด ยันยังจะทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ให้ได้โดยเร็ว

นายอนุทินได้เปิดใจเคลียร์ใจกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ตนเองไม่เคยนินทานายกฯ แต่เคารพนายกฯ ตลอด ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

แต่การที่นายกฯ พูดเช่นนั้นในที่ประชุม ครม. ทำให้ใครๆ คิดว่าเป็นตัวนายอนุทิน แม้แต่ตัวนายอนุทินเองก็เกรงว่านายกฯ จะเข้าใจผิด และหมายถึงตนเอง

ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็ยืนยันว่าไม่ได้ว่านายอนุทิน หรือหมายถึงนายอนุทิน แต่พูดรวมๆ โดยไม่ได้ระบุว่าหมายถึง รมต.ที่นินทาคือใคร ปล่อยให้เป็นปริศนา ให้ขบคิดถามไถ่กันต่อไป

หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินก็แสดงให้ผู้คนที่มาพบเจอ หรือร่วมประชุมเห็นว่า รักใคร่กลมเกลียว สนิทสนม หวานแหววกันตามเดิม

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็โทร.คุยและไลน์สั่งงานนายอนุทินทั้งวันทั้งคืน ที่เสมือนเป็นการงอนง้ออยู่ในที เพราะรู้ดีว่า บางคำพูดของตนเองทำให้ผู้คนเข้าใจผิด

เพราะโดยส่วนตัวแล้ว นายอนุทินก็ให้ความเคารพ พล.อ.ประยุทธ์อย่างมาก และเรียก พล.อ.ประยุทธ์ว่า “นาย” ทุกคำ

นายอนุทินก็มีเพื่อนฝูงเป็นทหาร ตำรวจ ก็มีความคุ้นเคยกับสไตล์ทหาร จึงคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างถูกคอมาตลอด ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ก็เรียกนายอนุทินว่า “หนู” แต่ต่อหน้าสื่อก็จะเรียกว่า “รองอนุทิน” บ้าง “พี่หนู” บ้าง

ยิ่งในการศึกกับโควิดครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินเปรียบเสมือนเป็นแม่ทัพกับขุนศึกคู่ใจ ที่ต้องรบเคียงไหล่กันไป รอดก็รอดด้วยกัน ไม่มีทางที่คนใดคนหนึ่งจะรอดคนเดียว เพราะถ้าตายก็ตายด้วยกัน

แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่า ในใจที่แท้จริงของกันและกัน หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นแผนของใครหรือไม่ หรือเป็นความหวาดระแวงลึกๆ ของนายกฯ

เพราะนายอนุทินก็คือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในอนาคต และยังมีคอนเน็กชั่นในหลายระดับ รวมทั้งสายสัมพันธ์พิเศษอีกด้วย และเป็นพรรคที่ไม่อาจมองข้าม แถมทั้งมีนายเนวิน ชิดชอบ เป็นแบ๊กอัพให้อยู่

แม้ว่านายอนุทินจะพูดเสมอว่า ตนเองไม่ได้ต้องการจะเป็นนายกฯ ยังตัองการทำงานสร้างผลงานไปก่อน ยังไม่รีบร้อน เพราะอายุยังไม่มาก

หรืออีกนัยหนึ่ง นายอนุทินรู้ดีว่า ตนเองยากที่จะขึ้นเป็นนายกฯ หากว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังจำเป็นที่ต้องครองอำนาจรัฐต่อไป อย่างน้อยอีก 1 สมัย เพราะมี 250 ส.ว. “ไดโนเสาร์” ที่นายอนุทินเคยเรียก ยังมีอำนาจโหวตเลือกนายกฯ อยู่

แต่กล่าวกันว่า ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับนายอนุทิน แม้จะกลับมาทำงานใกล้ชิดกันเหมือนเดิม แต่ทว่าอะไรๆ ก็อาจไม่เหมือนเดิมแล้ว หลังคำพูดที่ว่า “ใครที่นินทาผม ระวังไว้ด้วยแล้วกัน”

ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ได้หมายถึงนายอนุทิน หรือหมายถึง รมต.คนอื่น หรือตีขลุมป้องปรามดักคอไว้ก็ตาม

ดังนั้น นอกจากมีคำถามที่ว่า ใครคือ รมต.ที่นินทานายกฯ หรือว่า อาจมีมากกว่า 1 คน 1 พรรคแล้ว ยังมีคำถามที่ว่า ใครที่เอาข่าวมาบอกนายกฯ ว่ามีคนนินทา มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน และหวังผลอะไร

จึงไม่แปลกที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลบางคนมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ตกเป็นเหยื่อของ “อีกาสีดำ” ที่คาบข่าวมาบอกนายกฯ อย่างมีนัยยะแอบแฝง หรือใส่สีตีข่าวให้ดูใหญ่โต เว่อร์วังหรือไม่

ทั้งเพื่อการเอาหน้า ทำคะแนนกับนายกฯ หรือในอีกทางหนึ่ง อาจเป็นปฏิบัติการไซโค หวังผลด้านจิตวิทยาต่อตัวนายกฯ ให้เกิดความหวาดระแวงคนรอบข้าง

เพราะคนที่มาเล่าให้ พล.อ.ประยุทธ์ฟัง ย่อมต้องหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์อาจจะยังไม่ได้ตรวจสอบก่อน แต่อารมณ์นำไปก่อนแล้ว จึงพูดออกมาเช่นนั้น

จนเป็นที่มาของคำว่า “อีกาสีดำ” ที่พูดกันในทำเนียบรัฐบาลนั่นเอง

ทว่าปฏิบัติการสร้างความหวาดระแวงให้ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงมีอยู่ โดยหวังทำให้หวาดระแวงคนใกล้ตัว หลังมีการปล่อยข่าวพาดพิง “ทหารหัวแดง” ทีมงานนายกฯ คาบข่าวการซื้อวัคซีนสปุตนิกวีจากรัสเซีย ไปบอกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จนออกมาเคลื่อนไหวเรื่องวัคซีน

กระแสข่าวนี้สะเทือนตึกไทยคู้ฟ้า เพราะบรรดาทีมงานนายทหารฝ่ายเสนาธิการ หรือหน้าห้องนายกฯ ก็ตรวจสอบข่าวและแหล่งที่มา และตีความกันว่า “ทหารหัวแดง” หมายถึงใคร

เพราะกระแสข่าวมีการระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์มีนายทหารทีมงานที่เป็นนักเรียนนอกหลายคน จบจากมหาวิทยาลัยดังอย่างฮาร์วาร์ด เคมบริดจ์ และออกซ์ฟอร์ด มาช่วยงาน

ดังนั้น ทหารหัวแดงที่ถูกพาดพิง จึงถูกตีความว่าน่าจะหมายถึงนายทหารที่จบจากต่างประเทศ และมีความเป็นฝรั่งจ๋า

แต่เมื่อตรวจสอบดูแล้ว ไม่เคยมีข้อมูลปรากฏว่าทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์จบจาก 3 มหาวิทยาลัยดังเหล่านี้

แม้แต่ทีมงานนายทหารที่เคยไปช่วยที่วอร์รูมสภา เมื่อช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก็มาจากกรมยุทธการทหารบก และเหล่าทัพ และสำนักนโยบายและแผน กลาโหม ที่แม้บางคนจบต่างประเทศ แต่ก็ไม่ใช่จากมหาวิทยาลัยที่ว่านั่น

ส่วนทีมตึกไทยคู่ฟ้านั้น เป็นที่รู้กันว่า “2 นายกฯ น้อย” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไว้วางใจที่สุด เพราะทำงานด้วยกันมาเกือบ 15 ปี ก็มีอดีตผู้การ ป. 1 รอ. เสธ.มิตต์ พล.ต.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ นายทหารที่จบต่างประเทศ จบจากนายร้อยเวอร์จิเนีย VMI สหรัฐอเมริกา

และเสธ.เก๋ พล.ต.ณัฐวุฒิ ภาสุวณิชยพงษ์ นายทหารสายวงศ์เทวัญ ก็จบเตรียมทหาร 31 นายร้อย จปร.42 ไม่ได้จบจากต่างประเทศ

หากสแกนไปในทีมไทยคู่ฟ้า จะพบว่ามีนายทหารที่เป็นอดีตผู้ช่วยทูตทหารบกในต่างประเทศหลายคน ที่แม้ไม่ได้จบต่างประเทศ หรือมหาวิทยาลัยดังในต่างประเทศ แต่ก็มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่มาช่วยงานนายกฯ ได้

ทั้งเสธ.นิว พล.ท.นิธิ จึงเจริญ ทหารเสือราชินี ตท.29-จปร.40 ที่เป็นอดีต ผช.ทูตทหารบก ประจำออสเตรเลีย พล.ต.อภิชาติ ไชยะดา ตท.28 อดีต ผช.ทูตทหารบก ประจำลอนดอน อังกฤษ

หรือเสธ.กวาง พล.อ.มล. กุลชาต ดิศกุล อดีต ผบ.ป. 1 รอ. ทีมไทยคู่ฟ้า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ส่งไปช่วยงานที่หน้าห้อง รมว.กลาโหมนั้น ก็จบจากวิทยาลัยการทหาร CITADEL สหรัฐอเมริกา

ส่วนอดีตทีมโฆษกรัฐบาลยุค คสช. อย่างเสธ.ก้อง พล.ต.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ นักเรียนนอก ก็จบจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้จบ 3 มหาวิทยาลัยดังที่ว่า ส่วนผู้พันลิซ่า พ.อ.หญิง ทักษดา สังขะจันทร์ ก็เป็นภริยาอดีต ผช.ทูตทหารบก ประจำกรุงปารีส ฝรั่งเศส

นอกจากนั้น ยังมีเสธ.นุ้ย พล.ต.ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC – Prime Minister Operation Command ก็จบ จปร.40 แต่เคยเป็น ผช.ทูตทหารบกไทยประจำมาเลเซีย

หรือหากย้อนไปถึงเสธ.โอม พ.อ.อัครพัฒน์ เทพณรงค์ ที่เคยเป็น ทส.นายกฯ แต่ก็ลงหน่วยเป็นรองเสธ.พล.ร.11 ไปแล้ว ก็ไม่ได้จบต่างประเทศ แต่จบ รร.เสธ.ทบ.ได้ที่ 1 จึงได้ไปเรียน รร.เสธ.ทบ. สหรัฐอเมริกา ฟอร์ตลีเวนเวิร์ธ

ในที่สุด กระแสข่าวนั้นจึงถูกทีมไทยคู่ฟ้า สรุปว่าเป็นแค่ข่าวลือ และจับแพะชนแกะ เพราะไม่มีทีมงานนายกฯ ที่จบจากมหาวิทยาลัยดัง และไม่มีนายทหารทีมงานนายกฯ คนใดที่รู้จักสนิทสนม หรือมีสายสัมพันธ์กับอดีตนายกฯ ทักษิณ หรือแม้แต่คนใกล้ชิดอดีตนายกฯ

ทว่ากระแสข่าวลือเช่นนี้ ก็นำมาซึ่งความหวาดระแวงขึ้นได้

แม้แต่กระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่แฮปปี้กับ รมต.บางคนในเรื่องการทำงาน การวางตัว และความประพฤติ หรือแม้แต่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ถือเป็นกำลังสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ

ความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประยุทธ์กับ ร.อ.ธรรมนัส เริ่มถูกจับตามองตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์แซว ร.อ.ธรรมนัสเมื่อครั้งที่ได้คะแนนโหวตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มากกว่า ว่า คราวหน้าก็ไปเป็นนายกฯ เลยนะ ที่เสมือนการเหน็บแนมประชดประชัน

จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องสยบข่าวลือด้วยการยืนยันว่า เป็นการแซวเล่น เพราะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง เป็นที่รู้กันดีว่า ร.อ.ธรรมนัสอาจจะไม่ใช่น้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ทว่าสำหรับบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พี่ใหญ่ 3 ป.แล้ว ร.อ.ธรรมนัสคือลูกรักเลยทีเดียว

ยิ่งในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐด้วยแล้ว พล.อ.ประวิตรยิ่งต้องใช้งาน ร.อ.ธรรมนัส ถือเป็นมือไม้สำคัญในพรรค และในการเดินเกมการเมืองเลยทีเดียว

เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรเป็นคนตัดสินใจเสนอชื่อ ร.อ.ธรรมนัสเป็น รมช.เกษตรฯ แม้ว่าประวัติและเรื่องราวในอดีตของการเป็นคนเทาๆ นั้น เคยถูกมองว่าเป็นอุปสรรคก็ตาม

แต่ที่สุดเมื่อมีไฟเขียว ชื่อของ ร.อ.ธรรมนัสก็ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ พล.อ.ประยุทธ์นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ใน ครม.ประยุทธ์ 2/1

การได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในครั้งนั้น และได้เข้าถวายสัตย์ฯ ก่อนปฏิบัติหน้าที่นั้น ถือเป็นการเป็น รมต.ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ดังนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งเคยต้องคำพิพากษาจำคุกโดยศาลออสเตรเลีย เมื่อปี 2537 นั้น ขัดต่อการเป็น ส.ส. และรัฐมนตรีต้องพ้นสภาพนั้น จะส่งผลย้อนหลังต่อการที่ พล.อ.ประยุทธ์นำชื่อ ร.อ.ธรรมนัสขึ้นทูลเกล้าฯ เป็น รมช.เกษตรฯ ด้วย

แต่ทว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า ร.อ.ธรรมนัสไม่ขาดคุณสมบัติ เพราะไม่เคยต้องคำพิพากษาของศาลไทย ดังนั้น การที่เคยต้องคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ จึงไม่มีผลต่อคุณสมบัติใดๆ

 

การที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดออกมาเช่นนี้ ย่อมเสมือนเป็นการยืนยัน รับประกันในคุณสมบัติของ ร.อ.ธรรมนัสอย่างเป็นทางการ จากที่เคยยอมรับว่า ตนเองเป็นคนเทาๆ จนได้ฉายา “เทามนัส” นั้น ก็จะกลายเป็นคนสีขาว แม้จะนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ก็ตาม

เพราะในยามนี้ และอนาคตพรรคพลังประชารัฐ และพี่น้อง 3 ป. จะขาด ร.อ.ธรรมนัสผู้เป็นเส้นเลือดใหญ่ของพรรคไม่ได้

ดังนั้น จึงถูกมองว่า เก้าอี้เลขาธิการพรรค พปชร. รอ ร.อ.ธรรมนัสอยู่เบื้องหน้าแล้ว แม้เดิมอาจจะยอมให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ นั่งก่อนสัก 6 เดือน เพื่อเอาชนะนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จากกลุ่มสามมิตร แต่เมื่อฟ้าเป็นใจแบบนี้ ร.อ.ธรรมนัสก็คงจะนั่งเลขาธิการพรรคเลย เพราะมี ส.ส.พร้อมสนับสนุนอยู่แล้ว

การที่ศาลรัฐธรรมนูญการันตีคุณสมบัติให้เช่นนี้แล้ว ยิ่งเป็นการกรุยทางบนถนนสายการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัสให้โล่งสะดวกมากขึ้น ในฐานะทายาททางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ในการดูแลพรรคพลังประชารัฐในเจเนอเรชั่นต่อไป

ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเองหรือไม่ก็ตาม แต่จะมี ร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาธิการพรรค และเป็นกองหนุนสำคัญ และจะสยบกระแสข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ไปด้วยในตัว

เพราะหากจะย้อนอดีตแล้ว หลังการรัฐประหารพฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ติดต่อพูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส ที่ตอนนั้นอยู่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย เพื่อไม่ให้เคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร ก่อนที่จะใช้สายสัมพันธ์พี่น้องเตรียมทหาร ชักชวนให้ ร.อ.ธรรมนัสย้ายข้างมาสนับสนุน และช่วยกันแก้ปัญหาประเทศ ด้วยการหยิบยกคำสอนในโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ต้องทำเพื่อชาติ มาเตือนสติกันเลย

ดังนั้น ร.อ.ธรรมนัสกับพี่น้อง 3 ป. จึงเป็นเสมือนพี่น้องสายเลือดเตรียมทหาร และสายเลือด จปร.ด้วยกัน ที่ย่อมคุยกันรู้เรื่อง แม้ตอนนั้นจะมีการเอาเรื่องคดีต่างๆ มาต่อรอง กดดันด้วยก็ตาม

มาวันนี้ ร.อ.ธรรมนัสก็ไม่ได้ทำให้พี่น้อง 3 ป.ผิดหวัง เช่นเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัสก็ไม่ผิดหวังที่ได้รับการดูแลจนผ่านวิกฤตชีวิตครั้งสำคัญครั้งนี้ไปได้

 

หลังจากที่ชีวิตของ ร.อ.ธรรมนัสตกอยู่ในสภาพฝนตกหนัก ฟ้ามืดครึ้ม พายุถาโถมมาตลอด ตั้งแต่เจอคดีที่ออสเตรเลีย จนกลับมาไทย มาสู้ชีวิตในเส้นทางผู้กว้างขวางในวงการคนมีสี โดยมีเสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต นายทหารคนดังของวงการ สนับสนุน จนมาลงสนามการเมืองแบบมีชะนักติดหลัง

แต่วันนี้ได้กลายเป็นฟ้าหลังฝนของ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งความจริงฟ้าเปิดให้ตั้งแต่ได้มาเป็น รมต.นั่นแล้ว

ท่ามกลางการจับตามองว่า อนาคตทางการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัสจะก้าวไปถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หลังได้ไฟเขียวให้ไปต่อ

แม้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนั้น ตามตัวบทกฎหมายอาจไม่เป็นอุปสรรคต่ออนาคตทางการเมือง แต่ทว่าในแง่ความรู้สึกแล้ว เรื่องคดีที่ออสเตรเลียยังคงคาใจผู้คนอยู่ไม่น้อย

จึงน่าจับตามองอย่างยิ่งว่า ร.อ.ธรรมนัสจะไปได้ไกลแค่ไหน บนถนนสายการเมืองสายนี้