ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มิถุนายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
วันก่อน ฟัง “โน้ส” อุดม แต้พานิช เล่าเรื่องการใช้ชีวิตของเขาที่แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา
คือ ช่วงการหาเงิน กับ ช่วงการใช้เงิน
พอหาเงินได้จากการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน
ก็เข้าฤดูกาลใช้เงิน
“มีเงินต้องใช้ อย่าเป็นทาสของเงิน”
นั่นคือ หลักการใช้ชีวิตของ “โน้ส”
“โน้ส” ใช้เงินเพื่อใช้ชีวิตที่เขาอยากใช้
และหนึ่งในนั้น คือ การไปดูงาน “ฮ่องกง อาร์ต บาเซล”
งานนี้เป็นการแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยระดับโลก
“โน้ส” เป็นคนชอบงานศิลปะอยู่แล้ว
ชอบวาดรูป ชอบงานปั้น
ปีนี้เขาพาน้องๆ บางคนที่ไม่มีความรู้เรื่องศิลปะร่วมทีมไปด้วย
น้องกลุ่มนี้จะตื่นตาตื่นใจงานศิลปะร่วมสมัย
เพราะงานศิลปะร่วมสมัยนั้นจะมีรูปแบบการนำเสนองานที่แปลกใหม่กว่างานศิลปะทั่วไป
เจอศิลปินคนหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากการเห็นคนเก็บขยะเอากล่องกระดาษมามัดรวมกัน
เขารู้สึกว่า “กล่องกระดาษ” ก็เหมือนกับ “เงิน”
งานศิลปะของเขาที่นำมาโชว์จึงเป็นกล่องกระดาษมามัดรวมกัน
รูปทรงสวยงาม
แต่ก็ยังเป็น “กล่องกระดาษ”
งานศิลปะชิ้นนี้ราคาหลายแสนบาท
น้องกลุ่มนี้ไม่เข้าใจ
แต่ “โน้ส” เข้าใจ
เขาบอกว่าชอบมาเดินงานแบบนี้ งานศิลปะที่เหนือความคาดหมาย
ถือเป็น “งานเบิกเนตร” ประจำปี
เพราะทำให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง
…อย่างนี้ก็มีด้วย
สังเกตไหมครับว่าเวลาที่คนเราเจอสิ่งที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
จะมีคน 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่ง จะรู้สึกเหมือน “โน้ส”
…อย่างนี้ก็มีด้วย
กับอีกกลุ่มหนึ่ง จะรู้สึกงงๆ กึ่งปฏิเสธ
…อะไรก็ไม่รู้
เหมือนกับเวลาที่คนมีอายุฟังเพลงรุ่นใหม่
เจอเพลงแร็พเข้าไป
กลุ่มหนึ่ง จะงงและไม่ยอมรับ
เพลงอะไรก็ไม่รู้
แต่กลุ่มหนึ่ง จะสนใจกับแนวเพลงที่แตกต่าง
เฮ้ย…อย่างนี้ก็มีด้วย
เรื่องเดียวกัน แต่ความรู้สึกของคน 2 กลุ่มนี้แตกต่างกัน
ใครที่รู้สึกว่า “อะไรก็ไม่รู้”
ต่อมการรับรู้ของเขาจะปิดลงทันที
รู้สึกว่า “สิ่งใหม่” ไม่ถูกต้อง
ที่ถูกต้องต้องเป็นสิ่งเขาเคยชินมาตลอด
แต่ถ้าใครรู้สึกว่า “อย่างนี้ก็มีด้วย”
แสดงว่าต่อมการรับรู้เขาเปิดกว้าง
เริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมวัยรุ่นชอบทำนองเพลงแร็พ
แสดงว่ามันต้องมีอะไรดี
และเริ่มค้นหา
ปฏิกิริยาลูกโซ่เช่นนี้เองทำให้คนกลุ่มหนึ่งเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม
และทำให้ “กรอบการรับรู้” ของเขากว้างขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด
บางครั้งที่เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจว่าทำไมคนคนนี้ “คิดนอกกรอบ” จังเลย
เราอาจต้องตั้งคำถามกับ “กรอบ” ของตัวเองก่อน
เพราะบางทีเขาก็ไม่ได้คิดแปลกหรือแตกต่างอะไรมาก
เพียงแต่ “กรอบ” ของเขาใหญ่กว่าเรา
และ “ขนาด” ของ “กรอบ” ที่ใหญ่กว่า
อาจไม่ได้มาจาก “อายุ” ที่มากกว่า
…เรียนสูงกว่า
…ไปต่างประเทศมากกว่า
แต่อาจมาจากความรู้สึกนี้
…อย่างนี้ก็มีด้วย
คน 2 คนเห็นสิ่งเดียวกัน
ทำไมคนหนึ่งจึงรู้สึกว่า “อะไรก็ไม่รู้”
แต่ทำไมอีกคนหนึ่งจึงตื่นเต้น
“อย่างนี้ก็มีด้วย”
ผมเชื่อว่าเส้นบางๆ ที่แบ่ง “ความรู้สึก” ที่แตกต่างกันนี้
ชื่อว่า “ทัศนคติ”
“ทัศนคติ” เป็นเรื่องสำคัญมาก
เป็น “เข็มทิศ” ที่เปลี่ยนชีวิตได้เลย
ใครที่มีทัศนคติเปิดกว้าง ยอมรับสิ่งใหม่
เขาจะเกิดความรู้สึกว่า “อย่างนี้ก็มีด้วย”
แต่ถ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ตนรู้และชอบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เจอของแปลกใหม่เมื่อไร
จะปฏิเสธแบบฉับพลัน
“อะไรก็ไม่รู้”
ยิ่งโลกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
และผมเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่เราคิด
“ความเร็ว” ของการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่จะเร็วกว่าในอดีตเยอะมาก
“คนเก่ง” ในวันนี้และอนาคต จึงต้องเป็นคนที่เรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็ว
เชื่อไหมครับว่าคนที่เรียนวิศวะ คอมฯ
ความรู้ในตำราที่เรียนมา 4 ปี
พอเรียนจบปั๊บ
ความรู้ที่ใช้ได้จริงเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว
เพราะความรู้ใหม่ด้านคอมพิวเตอร์ไปเร็วมาก
การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
“ทัศนคติ” จึงเป็นเรื่องสำคัญ
คนที่ไม่เปิดรับสิ่งใหม่
ความรู้ของเขาจะเท่าเดิม
แต่ “โลก” จะแคบลง
ดังนั้น ถ้าวันใดที่เราเจอสิ่งใหม่ แล้วเกิดความรู้สึกว่า “อะไรก็ไม่รู้”
ขอให้ตั้งสติ คิดใหม่
ท่องคาถา “เบิกเนตร”
…อย่างนี้ก็มีด้วย