หนุ่มเมืองจันท์ : คาถา “เบิกเนตร”

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน ฟัง “โน้ส” อุดม แต้พานิช เล่าเรื่องการใช้ชีวิตของเขาที่แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา

คือ ช่วงการหาเงิน กับ ช่วงการใช้เงิน

พอหาเงินได้จากการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน

ก็เข้าฤดูกาลใช้เงิน

“มีเงินต้องใช้ อย่าเป็นทาสของเงิน”

นั่นคือ หลักการใช้ชีวิตของ “โน้ส”

“โน้ส” ใช้เงินเพื่อใช้ชีวิตที่เขาอยากใช้

และหนึ่งในนั้น คือ การไปดูงาน “ฮ่องกง อาร์ต บาเซล”

งานนี้เป็นการแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยระดับโลก

“โน้ส” เป็นคนชอบงานศิลปะอยู่แล้ว

ชอบวาดรูป ชอบงานปั้น

ปีนี้เขาพาน้องๆ บางคนที่ไม่มีความรู้เรื่องศิลปะร่วมทีมไปด้วย

น้องกลุ่มนี้จะตื่นตาตื่นใจงานศิลปะร่วมสมัย

เพราะงานศิลปะร่วมสมัยนั้นจะมีรูปแบบการนำเสนองานที่แปลกใหม่กว่างานศิลปะทั่วไป

เจอศิลปินคนหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากการเห็นคนเก็บขยะเอากล่องกระดาษมามัดรวมกัน

เขารู้สึกว่า “กล่องกระดาษ” ก็เหมือนกับ “เงิน”

งานศิลปะของเขาที่นำมาโชว์จึงเป็นกล่องกระดาษมามัดรวมกัน

รูปทรงสวยงาม

แต่ก็ยังเป็น “กล่องกระดาษ”

งานศิลปะชิ้นนี้ราคาหลายแสนบาท

น้องกลุ่มนี้ไม่เข้าใจ

แต่ “โน้ส” เข้าใจ

เขาบอกว่าชอบมาเดินงานแบบนี้ งานศิลปะที่เหนือความคาดหมาย

ถือเป็น “งานเบิกเนตร” ประจำปี

เพราะทำให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง

…อย่างนี้ก็มีด้วย

สังเกตไหมครับว่าเวลาที่คนเราเจอสิ่งที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

จะมีคน 2 กลุ่ม

กลุ่มหนึ่ง จะรู้สึกเหมือน “โน้ส”

…อย่างนี้ก็มีด้วย

กับอีกกลุ่มหนึ่ง จะรู้สึกงงๆ กึ่งปฏิเสธ

…อะไรก็ไม่รู้

เหมือนกับเวลาที่คนมีอายุฟังเพลงรุ่นใหม่

เจอเพลงแร็พเข้าไป

กลุ่มหนึ่ง จะงงและไม่ยอมรับ

เพลงอะไรก็ไม่รู้

แต่กลุ่มหนึ่ง จะสนใจกับแนวเพลงที่แตกต่าง

เฮ้ย…อย่างนี้ก็มีด้วย

เรื่องเดียวกัน แต่ความรู้สึกของคน 2 กลุ่มนี้แตกต่างกัน

ใครที่รู้สึกว่า “อะไรก็ไม่รู้”

ต่อมการรับรู้ของเขาจะปิดลงทันที

รู้สึกว่า “สิ่งใหม่” ไม่ถูกต้อง

ที่ถูกต้องต้องเป็นสิ่งเขาเคยชินมาตลอด

แต่ถ้าใครรู้สึกว่า “อย่างนี้ก็มีด้วย”

แสดงว่าต่อมการรับรู้เขาเปิดกว้าง

เริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมวัยรุ่นชอบทำนองเพลงแร็พ

แสดงว่ามันต้องมีอะไรดี

และเริ่มค้นหา

ปฏิกิริยาลูกโซ่เช่นนี้เองทำให้คนกลุ่มหนึ่งเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม

และทำให้ “กรอบการรับรู้” ของเขากว้างขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด

บางครั้งที่เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจว่าทำไมคนคนนี้ “คิดนอกกรอบ” จังเลย

เราอาจต้องตั้งคำถามกับ “กรอบ” ของตัวเองก่อน

เพราะบางทีเขาก็ไม่ได้คิดแปลกหรือแตกต่างอะไรมาก

เพียงแต่ “กรอบ” ของเขาใหญ่กว่าเรา

และ “ขนาด” ของ “กรอบ” ที่ใหญ่กว่า

อาจไม่ได้มาจาก “อายุ” ที่มากกว่า

…เรียนสูงกว่า

…ไปต่างประเทศมากกว่า

แต่อาจมาจากความรู้สึกนี้

…อย่างนี้ก็มีด้วย

คน 2 คนเห็นสิ่งเดียวกัน

ทำไมคนหนึ่งจึงรู้สึกว่า “อะไรก็ไม่รู้”

แต่ทำไมอีกคนหนึ่งจึงตื่นเต้น

“อย่างนี้ก็มีด้วย”

ผมเชื่อว่าเส้นบางๆ ที่แบ่ง “ความรู้สึก” ที่แตกต่างกันนี้

ชื่อว่า “ทัศนคติ”

“ทัศนคติ” เป็นเรื่องสำคัญมาก

เป็น “เข็มทิศ” ที่เปลี่ยนชีวิตได้เลย

ใครที่มีทัศนคติเปิดกว้าง ยอมรับสิ่งใหม่

เขาจะเกิดความรู้สึกว่า “อย่างนี้ก็มีด้วย”

แต่ถ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ตนรู้และชอบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

เจอของแปลกใหม่เมื่อไร

จะปฏิเสธแบบฉับพลัน

“อะไรก็ไม่รู้”

ยิ่งโลกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก

และผมเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่เราคิด

“ความเร็ว” ของการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่จะเร็วกว่าในอดีตเยอะมาก

“คนเก่ง” ในวันนี้และอนาคต จึงต้องเป็นคนที่เรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็ว

เชื่อไหมครับว่าคนที่เรียนวิศวะ คอมฯ

ความรู้ในตำราที่เรียนมา 4 ปี

พอเรียนจบปั๊บ

ความรู้ที่ใช้ได้จริงเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว

เพราะความรู้ใหม่ด้านคอมพิวเตอร์ไปเร็วมาก

การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด

“ทัศนคติ” จึงเป็นเรื่องสำคัญ

คนที่ไม่เปิดรับสิ่งใหม่

ความรู้ของเขาจะเท่าเดิม

แต่ “โลก” จะแคบลง

ดังนั้น ถ้าวันใดที่เราเจอสิ่งใหม่ แล้วเกิดความรู้สึกว่า “อะไรก็ไม่รู้”

ขอให้ตั้งสติ คิดใหม่

ท่องคาถา “เบิกเนตร”

…อย่างนี้ก็มีด้วย