ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
คนไทยทุกคนถูกปลูกฝังว่าประเทศไทยคือสวรรค์บนดิน
และด้วยการที่รัฐกรอกหูช่วงบังคับให้ยืนตรงเคารพธงชาติว่าคนไทยต้องภูมิใจในความเป็นไทย
คนไทยจำนวนมากจึงคิดต่อไปว่าประเทศไทยเหนือกว่าทุกประเทศ อาหารไทยอร่อยกว่าอาหารชาติอื่น คนไทยมีน้ำใจกว่าคนทั้งโลก และอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าอยู่ “บ้านเรา”
ด้วยวิธีคิดว่าคนไทยไปไหนก็ไม่ลืมน้ำพริกปลาทู ปรากฏการณ์ที่คนรุ่นใหม่หกแสนกว่าๆ ตั้งกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” เปรียบได้กับระเบิดนิวเคลียร์ที่ทลายความคิดเรื่อง “อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา” เป็น “กะลา” ซึ่งหายวับไปในพริบตา
เพราะถ้าเมืองไทยอยู่แล้วสุขใจ คนเกือบล้านคงไม่อยากย้ายไปประเทศอื่นอย่างแน่นอน
ตรงข้ามกับความเข้าใจผิดว่าคนอยากไปประเทศอื่นคือเด็กรวยหรือไฮโซ คนกว่าหกแสนมีตั้งแต่จบ ปวช.ไปจนถึงปริญญาเอก
แม้กระทั่งหมอซึ่งเป็นหนึ่งในอาชีพที่มั่นคงและรายได้ดีที่สุดก็ตั้งกลุ่มอยากไปจากประเทศอีกเกือบสองหมื่น
นั่นเท่ากับไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนและระดับการศึกษาใดรก็มีความรู้สึกบางอย่างคล้ายๆ กัน
ไม่มีใครพูดเหตุผลชัดๆ ว่าอยากออกจากประเทศไทยเพราะอะไร แต่หากดูวิธีเลือกประเทศที่หมาย ก็จะเห็นว่าความต้องการมีชีวิตที่ดีคือแรงขับของคนที่อยากไปจากประเทศแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุเรื่องการศึกษา สวัสดิการ การรักษาพยาบาล คุณภาพชีวิต รายได้ เสรีภาพในการแสดงออก หรือแม้แต่โอกาสทำมาหากิน
อันที่จริงความอยากออกไปนอกประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย
เชื้อพระวงศ์คือคนกลุ่มแรกๆ ที่ใช้โอกาสในการศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเหตุผลเพื่อดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงต่างๆ จนการปกครองเปลี่ยนแปลงในปี 2475
จากนั้นคนธรรมดาที่มีโอกาสศึกษาต่อต่างประเทศจึงมีโอกาสบริหารบ้านเมืองเหมือนกลุ่มเจ้านาย
คนไทยจำนวนมากถือว่าการไป “เมืองนอก” คือการไป “ชุบตัว” สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ใช้การไปต่างประเทศเพื่อยกระดับสถานะทางสังคมของบุคคลมานานแล้ว โดยเฉพาะหากการไปต่างประเทศเป็นไปเพื่อการศึกษา โอกาสในการใช้ปริญญาเพื่อเลื่อนสถานะก็สูงขึ้น
หรืออีกนัยคือโอกาสในการถีบตัวเหนือคนกลุ่มอื่นในสังคม
อย่างไรก็ดี การ “ชุบตัว” แสดงถึงวิธีคิดที่ไปเมืองนอกเพื่อสร้างสถานะพิเศษในเมืองไทย คนที่คิดเรื่อง “ชุบตัว” จึงออกจากประเทศไปบนความต้องการกลับมาไทยพร้อมเงื่อนไขในการไต่เต้าอย่างวุฒิการศึกษา, เครือข่ายศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย
หรือแม้แต่เงินทองที่เก็บได้จากต่างแดน
คนไทย8.5แสนชีวิตในกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” เป็นการรวมกลุ่มแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย มุมมองในการออกไปต่างประเทศของคนกลุ่มนี้คือไปเพื่อย้ายรกรากไปประเทศอื่นอย่างถาวร การไปจึงเป็นแบบไปแล้วไปลับ ปักหลักนอกประเทศแล้วไม่กลับมาอีก ยกเว้นแต่จะมาเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูงและครอบครัว
ไม่ว่าคนเจ็ดแสนจะย้ายประเทศไปได้จริงอย่างชื่อกลุ่มหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแน่ๆ คือคนเจ็ดแสนบอกว่าเขาใฝ่ฝันถึงอนาคตซึ่งดีเกินกว่าจะหาได้ในประเทศนี้
คนเจ็ดแสนไม่เชื่อว่าประเทศนี้ให้สิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันได้
และทุกคนเชื่อว่าตัวเองมีดีและมีความสามารถพอจะบรรลุความใฝ่ฝัน หากได้เติบโตและใช้ชีวิตในประเทศที่ดี
การมีชีวิตอยู่ในประเทศคือการมีชีวิตอยู่ใน Comfort Zone หรือ “พื้นที่ปลอดภัย” คนที่กล้าคิดเรื่องย้ายประเทศจึงเป็นคนที่ลึกๆ แล้วเชื่อว่าตัวเองมีดีจนกล้าออกจาก “พื้นที่ปลอดภัย” ไปเผชิญความเสี่ยงในสังคมใหม่ที่ต้องตั้งต้นใหม่ทั้งหมด
แต่ก็มองเห็นว่าการทุ่มเทนี้อาจไม่มีผลเลยหากอยู่ในประเทศไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มองในแง่นี้ กลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” คือใบเสร็จแห่งความสิ้นหวังที่คนหลายแสนมีต่อประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นใบเสร็จที่แสดงให้เห็นความเชื่อว่าประเทศนี้ไม่มีอนาคต เพราะคำว่า “ย้ายประเทศ” หมายถึงการโบกมือลาจากประเทศไทยไปประเทศอื่นแบบถาวร ไม่ใช่การไปนอกประเทศชั่วคราวแบบเรียนต่อหรือแต่งงาน
ความห่วยของคุณประยุทธ์ทำให้ไม่มีคนรุ่นใหม่ที่คิดเป็นคนไหนเชื่อมั่นอนาคตที่คนนี้เป็นผู้นำ แต่คุณประยุทธ์คือทหารเฒ่าที่ไม่กี่ปีก็ตาย ความไม่เชื่อมั่นในอนาคตถึงขั้น “ย้ายประเทศ” จึงมีรากจากความไม่เชื่อมั่นที่ไปไกลกว่าตัวคุณประยุทธ์ จะเรียกว่า “ระบอบ” หรือ “ระบบ” หรือ “โครงสร้าง” หรือ “ชนชั้นนำ” หรืออะไรก็ตาม
สำหรับรัฐเผด็จการพันลึกที่อยู่ได้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อและการพูดเท็จว่าผู้นำห่วยทำให้ประเทศดี การเกิดขึ้นของกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” คือการตบหน้ารัฐพันลึกโดยไม่ต้องลงถนนเพื่อชูสามนิ้วให้ทหารยิงหัว
เพราะทุกเสียงที่พูดว่าย้ายประเทศคือคำประกาศถึงความไม่เชื่อมั่นผู้มีอำนาจจนไม่อยากอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันต่อไป
ถ้าทุกวินาทีในการมีชีวิตคือการลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต ปรากฏการณ์ที่คนกว่าเจ็ดแสนอยากย้ายประเทศก็สะท้อนความเชื่อว่าการมีชีวิตในประเทศตอนนี้ไม่มีอนาคตที่ดี และถึงทนอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชีวิตภายใต้เครือข่ายรัฐพันลึกคือชีวิตที่ผ่านไปอย่างสูญเปล่าในสังคมที่ประชาชนเป็นเพียงฝุ่นสำหรับชนชั้นนำ
แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ที่คนไทยอยากไปอยู่ประเทศเพื่อแสวงหาโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดี แต่เป็นครั้งแรกที่เกิดปรากฏการณ์ซึ่งคนเฉียดล้านอยากย้ายประเทศเพราะไม่เห็นอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้นคือคำว่า “อนาคต” ในเวลานี้อาจไม่ได้ทะเยอะทะยานถึงขั้นหมายถึง “อนาคตที่ดี” แต่เอาแค่เป็นอนาคตที่มีกินมีงานทำก็ยังยากเหลือเกิน
อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ประเมินว่าเศรษฐกิจประเทศไทยยุครัฐพันลึกจะโตเต็มที่แค่ 2-3% สติปัญญาแบบคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเห็นว่า 2 ดีกว่า 0 จนถือเป็นผลงานที่ดี แต่วิสัยทัศน์แบบคุณทักษิณมองเห็นว่าตัวเลขที่ดีที่สุดที่ได้แค่นี้แปลว่าเด็กจบใหม่รุ่นนี้ตกงานหมด เพราะเศรษฐกิจไทยต้องโตราว 4-5% จึงจะพอพยุงให้คนรุ่นใหม่มีงานทำ
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อายุไม่เกิน 25 ประเทศไทยที่คนกลุ่มนี้อยู่คือประเทศที่ระบบราชการทำเศรษฐกิจล้มละลายปี 2540, ทหารรัฐประหารครั้งแรกปี 2549, ทหารฆ่าประชาชนกลางเมืองปี 2553, ทหารรัฐประหารครั้งที่สองปี 2557, วัฒนธรรมศักดินาพุ่งกระฉูด, สังคมไทยเจอโรคระบาด และรัฐบาลไม่มีปัญญาหาวัคซีนให้ได้ทันเวลา
ต่อให้เป็นคนที่ปิดหูปิดตาจนไม่คาดหวังเรื่องโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดี ประเทศไทยวันนี้ก็มาตรฐานต่ำจนแค่จะมีงานทำก็ยังยาก
รัฐพันลึกที่ทำทุกทางให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ไม่เพียงแต่พรากชีวิตที่ดีไปจากคนส่วนใหญ่ แต่แม้กระทั่งความฝันถึงชีวิตที่ดีก็ยังยากในชีวิตที่ถูกถ่วงด้วยโอกาสที่จะไม่มีงาน, ไม่มีกิน และอาจติดโควิดตาย
การย้ายประเทศคือความทะเยอะทะยานในการอพยพที่ไม่เคยมีในสังคมไทย ทุกวินาทีที่คนรุ่นใหม่พูดเรื่องนี้คือทุกวินาทีที่คนรุ่นใหม่พบว่าประเทศไทยห่วยแค่ไหนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น รวมทั้งชนชั้นนำไทยเฮงซวยแค่ไหนเมื่อเทียบกับชนชั้นนำในประเทศอื่น หากไม่นับถึงเรื่องประเภทน้ำจิ้มซีฟู๊ดและรสชาติของอาหารไทย
สำหรับคนที่อยากไปสวีเดนในแง่สวัสดิการ อยากไปสหรัฐในแง่โอกาส อยากไปออสเตรเลียในแง่คุณภาพชีวิต อยากไปดูไบในแง่รายได้ อยากไปญี่ปุ่นในแง่การศึกษา
ประเทศไทยภายใต้รัฐพันลึกที่เลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ คือประเทศที่ไม่มีทางทำอะไรให้ประชาชนแบบนี้
รวมทั้งมองไม่เห็นว่าจะอยู่ในประเทศนี้ไปเพื่ออะไร
คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในเรื่องโทษคนอื่นและแก้ตัวให้ตัวเอง แต่การที่คุณประยุทธ์ยึดประเทศเป็นของตัวเอง 7 ปี ก็เป็นเวลาที่นานมากพอจะทำให้ประเทศนี้มีอะไรเจริญขึ้นบ้าง ไม่ใช่เป็นประเทศที่มองย้อนหลังเห็นแต่เรื่องเลวร้าย มองไปข้างหน้าเห็นแต่ฝาโลง และยิ่งเทียบกับประเทศอื่นแล้วยิ่งเฮงซวย
วิธีคิดที่คนรุ่นใหม่เทียบประเทศไทยยุคคุณประยุทธ์กับประเทศอื่นทำให้ “ระบอบประยุทธ์” เข้าตาจน เพราะทุกครั้งที่มีการเปรียบเทียบ ทุกคนจะยิ่งเห็นความไม่มีประสิทธิภาพลและความไม่ใส่ใจประชาชนของรัฐพันลึกเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นในแง่ประชาชนสวัสดิการห่วยกว่านายพล อภิสิทธิ์ชนได้ฉีดวัคซีนก่อนชาวบ้าน ฯลฯ
เจ็ดปีของการกดคนเป็นทาสและไล่คนเห็นต่างออกนอกประเทศกำลังพาประเทศมาสู่จุดที่คนอยากออกไปจากประเทศนี้จริงๆ
หรือเท่ากับการกรวดน้ำคว่ำขันให้ผู้มีอำนาจจนไม่อยากอยู่ในแผ่นดินเดียวกันอีกต่อไป ยกเว้นแต่จะมีผู้นำใหม่ที่ทำให้ประเทศนี้เป็นของคนไทยทุกคนจริงๆ ไม่ใช่เป็นแค่เบี้ยให้แก๊งขาประจำปกครอง
สำนึกของความเป็นพลเมืองโลกกำลังทำลายกะลาของความเป็นไทยที่รัฐพันลึกยัดเยียดจนพังทลายแม้กระทั่งในระดับความฝันของประชาชน หรืออีกนัยทำลายระบอบกะลา