ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความในประเทศ
สรยุทธ สุทัศนะจินดา
ในวันที่หวนคืนจอ
พิสูจน์พิธีกรยืนเด่นโดยท้าทาย
กลับมาทวงพื้นที่สื่อในฐานะ ‘คนเล่าข่าว’ แถวหน้าของวงการสื่อไทยได้อย่างสมศักดิ์ศรีและไร้ที่ติ แม้จะห่างหายจากหน้าจอไปนานถึง 5 ปี สำหรับ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ผู้ประกาศข่าวอันดับต้นๆ ของไทย หลังจากมีคำพิพากษาสั่งจำคุก 6 ปี 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จากคดีความเรื่องบริษัทไร่ส้ม กรณียักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าว
ย้อนกลับไปถึงชีวิตในอดีต ใครจะคาดคิดว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เคยมีประวัติเข้าไปอยู่ในกลุ่มทะเลาะวิวาทจนกระทั่งถูกจับกุม ต้องไปใช้ชีวิตในบ้านเมตตา 15 วัน ก่อนจะกลับตัวกลับใจหันมาตั้งใจเรียน จนสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นิเทศศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อปี 2530 สู่จุดเริ่มต้นการทำงานในฐานะสื่อมวลชน
ทั้งการเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ นักข่าวสายการเมือง ผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง หัวหน้าข่าวการเมือง บรรณาธิการข่าวจัดรายการวิเคราะห์ข่าว ตามลำดับ
จนได้มาเป็นพิธีกรอ่านและเล่าข่าวหน้าจอทีวีเต็มตัว
โดยปี 2543 สรยุทธเป็นพิธีกรรายการทีวีรุ่นแรกของเนชั่น ก่อนจะถูกทาบทามจากทางช่อง 3 ซึ่งยืนพื้นเป็นช่องทีวีที่มีเรตติ้งอันดับ 2 ของประเทศ ให้มาจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ในปี 2546 เจ้าตัวจึงตัดสินใจลาออกจากเนชั่น มาเป็นพิธีกรรายการเรื่องเล่าเช้านี้เต็มตัว รวมทั้งได้ร่วมงานกับทางช่อง 9 ในรายการถึงลูกถึงคน
ความสำเร็จของรายการถึงลูกถึงคนและเรื่องเล่าเช้านี้ ดันสรยุทธขึ้นเป็น ‘คนเล่าข่าวแถวหน้าของประเทศไทย’ ได้ในที่สุด
โดยเฉพาะรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่มีการเล่าข่าวในรูปแบบใหม่ ให้สามารถเข้าใจง่ายและเห็นภาพชัดเจน ไม่ใช่ช่องรายการข่าวที่เปิดเพื่อฆ่าเวลารอดูละคร รวมไปถึงการสร้างมิติใหม่ให้เกิดขึ้นในรายการข่าว
อาทิ การตั้งโต๊ะอ่านข่าวนอกพื้นที่ การรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือในกรณีเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้นในจังหวัดต่างๆ
เรื่องเล่าเช้านี้จึงกลายเป็นเสมือนเพื่อนในยามเช้าของพ่อบ้านแม่บ้าน ที่ต้องตื่นมาหุงหาอาหารในตอนเช้า เป็นเหมือนนาฬิกาแจ้งเตือนการไปโรงเรียนของเด็กๆ อย่างที่หลายคนรู้สึกมาตลอด
แต่ทว่าขณะที่เส้นทางการเป็นคนเล่าข่าวกำลังฮอตขึ้นหิ้ง พาช่องและรายการทะยานไปสู่ความนิยม กลับต้องสะดุดลง เมื่อสหภาพแรงงานวิสาหกิจ อสมท ตรวจสอบพบว่าบริษัทไร่ส้มของสรยุทธค้างรายได้ค่าโฆษณาเกินเวลาเป็นจำนวนเงิน 138 ล้านบาท ในปี 2549 เรื่องราวบานปลายนำไปสู่การตั้งกรรมการสอบและตรวจพบว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริง
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจสรยุทธ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก 13 ปี 4 เดือน แถมเจ้าตัวยังถูกสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เรียกร้องให้ช่อง 3 ยุติบทบาททางหน้าจอจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เพื่อต้องการสร้างบรรทัดฐานด้านจริยธรรมให้กับวงการสื่อ
ก่อนที่เจ้าตัวจะประกาศขอยุติบทบาทหน้าที่ทางจอทีวีทุกอย่างในวันที่ 3 มีนาคม 2559 เป็นการสิ้นสุดการทำหน้าที่ ‘นักเล่าข่าว’
21 มกราคม 2563 สรยุทธตกเป็นผู้ต้องขังตามคำพิพากษาศาลฎีกา ต้องจำคุกเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ชื่อและภาพของสรยุทธเงียบหายไปในบัดดล
ต้นสังกัดเกิดความระส่ำระส่าย เมื่อนักเล่าข่าวผู้เรียกเรตติ้งให้ช่องหายไปจากหน้าจอ
ทำให้ต้องมีการปรับผังผู้ประกาศกันยกชุด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครขึ้นมาเทียบรัศมีของสรยุทธได้
ไม่นาน ภาพการเล่าข่าวของสรยุทธปรากฏสู่สายตาสาธารณชนอีกครั้ง ผ่านรายการ ‘เรื่องเล่าชาวเรือนจำ’ เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2563
แน่นอนว่าภาพของสรยุทธขณะเล่าข่าวอยู่ภายในเรือนจำ ได้รับคำชื่นชมจากชาวโซเชียลไม่ใช่น้อย ลีลาการเล่าข่าวอันมีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของสรยุทธแม้ไม่ได้อยู่ในหน้าจอมานาน กลับไม่เคยหายไปแม้แต่น้อย
เนื่องด้วยขณะอยู่ในเรือนจำ สรยุทธประพฤติตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ได้ช่วยงานของกรมราชทัณฑ์หลายด้าน จนในที่สุดได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ปี พ.ศ.2563 ทั้ง 2 ครั้ง และได้รับการพักโทษโดยถูกปล่อยตัวออกนอกเรือนจำกลับมาใช้ชีวิตปกติ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2564 คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี 4 เดือน 14 วัน แต่ยังต้องติดกำไลอีเอ็มติดตามตัว รวมถึงต้องรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติตามนัด ไปจนถึง 26 กรกฎาคม 2566 จึงจะครบกำหนดพ้นโทษ และมีแนวปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับการพักโทษรายอื่น
ข้อห้ามหลักอีกข้อคือไม่สามารถทำงานด้านการเมืองได้ อาทิ เป็นโฆษกให้กับพรรคการเมือง ยกเว้นการจัดรายการข่าวทั่วไป ซึ่งต้องนำเสนอข้อเท็จจริงภายใต้ ‘จรรยาบรรณของสื่อมวลชน’ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ยืนยันว่าจะกลับมาทำงานแน่นอน แต่ขอพักใช้ชีวิตให้ชินกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันหลังห่างหายไปนาน
พร้อมกับได้รับการแต่งตั้งจากช่อง 3 ให้เป็นที่ปรึกษาด้านข่าว
แต่ไม่วายถูกนักร้อง (เรียน) แห่งชาติ อย่าง ‘นายศรีสุวรรณ จรรยา’ เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย บุกร้อง กสทช. คัดค้านการกลับคืนจอของสรยุทธ เพราะหวั่นผิดจริยธรรมวิชาชีพสื่อ พิธีกรหรือนักเล่าข่าวทางจอทีวี ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม ไม่มีประวัติด่างพร้อย จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะกลับมาทำหน้าที่นี้อีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงกระแสสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำ ‘ร้องไปเรื่อย’ ของนายศรีสุวรรณอย่างหนักหน่วง
2วันก่อนเริ่มต้นการทำงานครั้งใหม่ (28 เมษายน) สรยุทธได้โพสต์ข้อความผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว’ ใจความส่วนหนึ่งกล่าวว่า
‘ไม่มีใครรู้ว่ารายการที่ผมกลับมาทำจะประสบความสำเร็จหรือไม่ โลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป แต่ผมเชื่อของผมว่า ครอบครัวข่าวของผม แฟนข่าวของผม ยังอยากพบอยากเจอกัน ความผูกพันที่เกิดขึ้นจากความจริงใจต่อกันมายาวนาน วันนี้ผมอยากจะกลับมาทักทาย พูดคุย เล่าเรื่อง อยากจะร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างที่เคยเป็นมา ขอบคุณที่ติดตามเป็นกำลังใจให้เสมอมาครับ’
แฟนข่าวยืนยันการรอคอยการกลับมาของ ‘สรยุทธ’ ด้วยการกดไลก์ กดส่งหัวใจนับแสน ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับมาทวงคืนพื้นที่สื่อหน้าจอทีวี ประเดิมรายการ ‘เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์’ คู่กับ ‘ไบรท์ พิชญทัฬห์’ เป็นครั้งแรกในวันแรงงาน 1 พฤษภาคม
ตามสโลแกน ‘การกลับมาของกรรมกรข่าว’
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงภายในทีมผู้ประกาศ เพื่อให้เป็นทีมข่าวที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด
และแล้วก็เป็นไปตามคาด เวลา 10.30 น. ของวันที่ 1 พฤษภาคม การปรากฏตัวของสรยุทธมาพร้อมการสวมหน้ากากอนามัยตามมาตรการเพื่อช่วยกันหยุดการแพร่เชื้อโควิด-19 แม้จะไม่เห็นสีหน้าชัดเจน แต่เจ้าตัวก็ยอมรับว่าค่อนข้างตื่นเต้นกับการกลับมาเล่าข่าวในรอบ 5 ปี
แน่นอนว่าการเล่าข่าววันแรกของสรยุทธสามารถเรียกคืนความทรงจำให้กับใครหลายๆ คนได้เป็นอย่างดี ทั้งน้ำเสียง ลีลา การลำดับเรื่องราว มุมจิกกัดที่แอบสอดแทรกในการเล่าข่าว
ตลอดจนการเลือกประเด็นข่าวเพื่อนำเสนอรอบด้าน ทั้งสถานการณ์โควิด-19 สังคมและการเมือง
จนโลกโซเชียลชื่นชมกันยกใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอข่าวกรมราชทัณฑ์ย้ายตัวเพนกวิน พริษฐ์ แกนนำราษฎรออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี หลังอดอาหารมานานกว่า 46 วัน
และข่าวการโกนผมเรียกร้องความเป็นธรรมแทนลูกชายของนางสุรีย์รัตน์ มารดาของเพนกวิน
ที่ต้องบอกว่าเห็นการนำเสนอข่าวนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับช่องทีวีช่องอื่น
สร้างความหวังให้ประชาชนและคนในโลกออนไลน์ ถึงมาตรฐานการนำเสนอข่าวของสื่อไทย
ที่อยากให้กลับมาเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้มีอำนาจ และการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารต่อประชาชน
การกลับมาของสรยุทธในครั้งนี้เรียกว่าโดดเด่น ท้าทาย และสมศักดิ์ศรีความเป็นทั้ง ‘เจ้าพ่อข่าว’ และ ‘กรรมกรข่าว’ ผู้เป็นกระบอกเสียงแทนประชาชน ในการทวงถามและช่วยผลักดันการแก้ปัญหาต่างๆ ในห้วงเวลาที่ประเทศตกอยู่ในภาวะความสิ้นหวังจากนานาเรื่องราวที่เกิดขึ้น
และที่สำคัญ ส่อแวว (จะ) ช่วยช่อง 3 สร้างเม็ดเงินโฆษณาก้อนใหญ่ หลังเผชิญวิกฤตขาดทุนในรอบปีที่ผ่านมาได้อย่างแน่นอน