เผยแพร่ |
---|
สังคมไทย ณ วันนี้ ปรากฏรูปธรรมแห่งการตรวจสอบในทางความคิดมากขึ้นเป็นลำดับ
เริ่มจากท่าทีต่อชายสูงวัยอย่าง Tony Woodsome
เพียงแต่ถามว่ารู้สึกอย่างไรต่อการปรากฏตัวผ่าน Club house ก็รู้ว่าคนที่ให้คำตอบเป็นอย่างไร
ยิ่งเมื่อเอ่ยนามของ “พี่เอก” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ “พี่ป๊อก” นายปิยบุตร แสงกนกกุล “พี่ช่อ” น.ส.กรรณิการ์ วาณิช ยิ่งแบ่งแยก กลุ่มทางความคิดออกได้ไม่ยาก
เหมือนกับเมื่อเอ่ยชื่อของ “อาจารย์ไชยยันต์” เหมือนกับเมื่อเอ่ยชื่อของ”อาจารย์ณัฐพงศ์” ก็รู้ว่าใครเป็นแฟนานุแฟนของใคร
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็ตรงที่เริ่มมี “พระอาหลัว”เข้ามา
“พระอาหลัว” แม้จะเป็นรูปจำลองแห่ง”พระเครื่อง”แต่เนื้อแท้แล้วกลับเป็น”ขนมไทย”
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์”พระอาหลัว”มีความร้อนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการปรากฏตัวขึ้นของ “หลวงพี่พะยอม” หรือแม้กระทั่ง”หลวงพี่สมปอง”
เพียงแต่หลวงพี่”อาหลัว”มิได้เป็นนักเทศน์ มิได้เป็นนักจัดรายการทางทีวี
หากแต่หลวงพี่”อาหลัว”ปรากฏเงาร่างผ่าน”พระเครื่อง”
อาจมิได้ปรากฏตัวในกรุงเทพมหานคร อาจเป็นการปรากฏตัวในพระนครศรีอยุธยา แต่เพราะบทบาทของ พ.ศ. หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ทำให้บทบาทของ”หลวงพี่อาหลัว”มีความโดดเด่นและกลายเนหัวข้อในการวิพากษ์วิจารณ์อย่างชนิด ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์
กระทั่งเป็น”ไวราล”อย่างรวดเร็วใน”โซเชียล มีเดีย”
ยิ่งมีการห้าม ยิ่งมีการขัดขวาง ยิ่งทำให้สังคมเพิ่มความสนใจต่อบทบาทและความหมายของ”หลวงพี่อาหลัว”
ไม่เพียงเพราะ “ไหว้” ก็ได้ “กิน” ก็ได้เท่านั้น
หากแต่ยังสร้างจุดเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญกับรูปบูชาอื่นๆที่ดำรงอยู่ก่อนแล้วในสังคมไทย
กลายเป็นคำถามว่าทำไมต้องกลัว”หลวงพี่อาหลัว”ด้วย