เรตติ้ง “บิ๊กตู่” ตกหลุมอากาศ พากันส่ายหัว/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

เรตติ้ง “บิ๊กตู่” ตกหลุมอากาศ พากันส่ายหัว

 

ช่วงที่มีการแพร่ระบาด “โควิด-19” ในรอบที่ 1 และรอบที่ 2 คะแนนนิยมความเชื่อมั่นของประชาชนคนไทยต่อรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยังดูดี แต่ “รอบที่ 3” กลับเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้าย

ความรู้สึกสะท้อนผ่าน “สวนดุสิตโพล” ที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เมื่อล่าสุดระหว่างวันที่ 16-22 เมษายน กับคำถามที่ว่า “คิดอย่างไรต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบที่ 3”

พบว่า ร้อยละ 39 เชื่อว่ารัฐบาล “น่าจะรับมือได้” ร้อยละ 35 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 25 ไม่น่าจะรับมือได้

กระรอกตาบอดยังหาถั่วเจอ ประเทศไทยเผชิญกับภัยมืดการแพร่ระบาดโควิด-19 มาปีกว่าๆ แล้ว

นับจากจุดสตาร์ตเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563 มีผู้ติดเชื้อครั้งแรกจนนำไปสู่การยกระดับประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกมาตรการล็อกดาวน์และประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกจากเคหสถาน

ชาวบ้านมีวินัย จนสถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็ไม่รอด ถูกโจมตีระลอก 2 จากจุดเริ่มต้นตลาดกลางกุ้ง สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 จนชวด “เคาต์ดาวน์” กันทั่วประเทศ

ห้องเครื่องรอบที่ 1 เกิดจาก “สนามมวย” รอบที่ 2 เกิดจาก “คนงานต่างชาติ” ในตลาดสด

แต่รอบที่ 3 ต้นตอเริ่มที่สถานบันเทิงระดับพรีเมียมย่านทองหล่อ ตัวการคือคนรวย ไฮโซ ผู้ดีมีชาติตระกูล นักการเมือง และแพร่กระจายรุนแรง หนักหน่วง กลับเป็นผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน

เป็นเหตุและปัจจัยให้เรตติ้ง “บิ๊กตู่” ที่อาจจะไม่ใช่ผู้นำที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นนายกฯ ที่ดีในสายตากองเชียร์ ตกหลุมอากาศ เมื่อก่อนจะส่งขี้ไก่ ขี้เป็ดให้รับประทาน “ติ่งลุงตู่” ก็ว่านอนสอนง่าย เชื่อว่าเป็นริบอาย เซอร์ลอยน์

แต่ระลอกที่ 3 ดักแด้รับประทาน คำอวยพรแปรสภาพเป็น “คำสาป” อย่างล่าสุด “พล.อ.ประยุทธ์” ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือ “ทีวีพูล” ชี้แจงทำความเข้าใจโควิด-19 บอมบ์ยกสาม

กระแสนิยมเอ็กซ์ปาย คล้ายนมบูด ชาวบ้านที่ติดตามดูชมหน้าจอทีวี พากันส่ายหัวเดี๊ยะ ทั้งกองเชียร์ กองแช่ง “ลุงตู่” ได้ยินเสียงคลื่นซัด ได้กลิ่นสาหร่าย เห็นปลาแหวกว่ายลอยอยู่กลางทะเล แต่ไม่รู้ว่าออกทะเล

การออกจองวดล่าสุด กลิ่นผิดหวังพุ่งกระฉูด มีแต่ภาพด้านลบ นิยามปารมาสว่า ผู้ใหญ่บ้านออกเสียงตามสายยังดูดีกว่า

 

โควิด-19 รอบที่ 3 กระแสนิยมตกหลุมอากาศขนาดหนัก ขณะเดียวกันปัญหาอื่นขึ้นมาสารพัด โดยเฉพาะลมการเมืองว่าด้วย “ศึกพรรคร่วม” ทำท่าว่าจะกระโชกแรงเป็นหย่อมๆ หลายจุด

เริ่มจาก “ประชาธิปัตย์” ผลพวงมาจากการแจกจ่ายพื้นที่จังหวัดให้บรรดารัฐมนตรีกำกับดูแล ในสัดส่วนของ “พลังประชารัฐ” และ “ภูมิใจไทย” ไม่มีอะไรในกอไผ่

เพราะส่วนใหญ่คุมเขตอิทธิพลเดิม อาทิ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาฯ พรรคภูมิใจไทย ดูแล จ.บุรีรัมย์

“นายวราวุธ ศิลปอาชา” รมว.ทรัพยากรฯ กำกับดูแลสุพรรณบุรี

“นายอิทธิพล คุณปลื้ม” รมว.วัฒนธรรม คุมถิ่นชลบุรี “นายสมศักดิ์ เทพชสุทิน” รมว.ยุติธรรม ดูแลสุโขทัย “นายอนุชา นาคาศัย” รมต.ประจำสำนักนายกฯ คุมโซนชัยนาท

หรือแม้กระทั่ง รมต.น้องใหม่ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลฯ ยังได้กำกับดูแลสิงห์บุรี

ขณะที่รัฐมนตรีเครือข่ายประชาธิปัตย์ ถูกเทกระจาดเรี่ยราด ยกแผง เป็นต้นว่า “จุติ ไกรฤกษ์” รมว.การพัฒนาสังคมฯ ถูกโยกจากพิษณุโลกไปคุมอำนาจเจริญ ยโสธร “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย แม่ทัพปักษ์ใต้ โดนตัดสายสะดือ “สินิตย์ เลิศไกร” รมช.พาณิชย์คนใหม่จากสุราษฎร์ธานี บินข้ามเขตไปอีสาน กำกับดูแลร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู

ที่ประชาธิปัตย์แสบริดสีดวงมากเป็นไหนๆ ตรงที่เขตอิทธิพลเก่าประชาธิปัตย์ 3 หัวเมืองใหญ่ที่เคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “นิพนธ์” ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต

“ลุงตู่” ถอดปลั๊ก สลับฟันปลาส่ง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรฯ ไปกำกับดูแลแทน หยามกันชัดๆ เพราะ “ผู้กองมนัส” เพิ่งรับหน้าที่โต้โผใหญ่ศึกเลือกตั้งซ่อมนครฯ เขต 3 และชนะประชาธิปัตย์แบบขาดลอยมาหยกๆ

ประชาธิปัตย์ไม่พอใจขนาดหนัก ถึงขนาด “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคออกมาโวยลั่นด้วยตนเอง

นอกจากประชาธิปัตย์แล้ว ในส่วนของ “ภูมิใจไทย” ก็มีรายการ “ตบจูบ” กันหนัก โดย “ศุภชัย ใจสมุทร” รองหัวหน้าพรรค ออกมาดับเครื่องชน ทำนองว่า นายกฯ รวบอำนาจการแก้ปัญหาโควิดไปไว้ที่ ศบค. ทำให้รัฐมนตรีไม่มีส่วนในการแก้ปัญหา อีกทั้งมองเรื่องโควิดเป็นงานด้านความมั่นคงเลยไม่ประสบผลสำเร็จ

“หมอหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ในฐานะ รมว.สาธารณสุข ก็ออกมาขานรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย คล้ายอารามน้อยใจว่า “รองนายกฯ-รมว.สาธารณสุข เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุด และเป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ผมมีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายและคำสั่งนายกฯ”

ทำท่าจะโกบิ๊ก เมื่อ “แรมโบ้อีสาน-เสกสกล อัตถาวงศ์” ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ออกมาดับเครื่องชนว่า “สำหรับนายศุภชัย สงสัยว่าใครสั่งให้ออกมาพูดทำลายน้ำใจ และทำลายบรรยากาศของการร่วมมือร่วมใจในครั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยเห็นดีเห็นงามกับความคิดคับแคบและเอาตัวรอดแบบนี้ ต่อไปใครจะกล้าคบเป็นเพื่อน”

ขณะเดียวกัน “นายสิระ เจนจาคะ” ลูกพรรคชื่อดัง พปชร. ตอกลิ่มซ้ำย้ำว่า “ภูมิใจไทยอย่าทำพฤติกรรมเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เวลาที่นายอนุทินและภูมิใจไทยสร้างผลงานได้ก็ไม่เห็นจะพูดให้ความความชอบกับพรรคร่วมรัฐบาล แต่เวลาตัวเองเจอปัญหากลับโยนมาเป็นความรับผิดชอบสูงสุดของ พล.อ.ประยุทธ์เพียงผู้เดียว”

โฟกัสต่อไปที่คำปรารภของ “พล.อ.ประยุทธ์” ถึงคณะรัฐมนตรีด้วยอารมณ์บ่จอย น้ำเสียงสั่นเครือว่า “มีรัฐมนตรีบางคนพูดจาไม่ดี และนินทาผมในที่ประชุมบางวง ให้ระวังตัวไว้ด้วย ผมเป็นคนตัดสินใจเลือก ถ้าได้ยินอีกผมจะต้องปรับออก”

“ตู่ 3/4” ตอนนี้ปัญหาถาโถม ไม่เพียงแต่ศึกโควิด-19 แต่ศึกพรรคร่วม น่าจะไม่ธรรมดา…โดยเฉพาะ “ภูมิใจไทย”