ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังเลนส์ในดงลึก |
ผู้เขียน | ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ |
เผยแพร่ |
‘สอน’
เดินทางอยู่ในป่า จุดหมายสำคัญและต้องไปให้ถึงก็จริง
แต่สำหรับผม สิ่งที่ได้มักเป็นบทเรียนซึ่งอยู่ระหว่างทาง
บทเรียนหนึ่งที่ได้รับและจดจำไว้เสมอคือทางเบี่ยง รวมทั้งทางลัด ที่มีระยะทางสั้นกว่า มักเป็นเส้นทางที่ยากกว่าปกติ รกทึบ สูงชัน ต้องใช้ความพยายามมากยิ่งขึ้น
และทางลัดนี่แหละทำให้เสียเวลามากกว่า
หลายครั้งที่ผมพบว่า การเดินทางสู่จุดหมาย ไม่ได้มีเพียงหนทางเดียว
บทเรียนจากป่าสอนให้รู้ว่า จำเป็นต้องรู้และเลือกเส้นทางให้เหมาะสม
ในช่วงฤดูแล้ง การเดินทางในป่าควรจะพบกับความสะดวก ไม่มีร่องลึก เนินชันอันลื่นไถล นั่นเป็นเพียงสิ่งที่หวัง
แม้สภาพเส้นทางจะขรุขระ ดินแห้งแข็ง ใบไม้สีน้ำตาลร่วงหล่นทับในทางที่ใช้ประจำ บางช่วงร่องลึกดินแห้งพอที่จะขับรถคร่อมไปได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา
ต้นไผ่ล้มขวางทาง ซึ่งในครั้งก่อนเราตัดออกแล้วถูกช้างดึงกิ่งใหม่ลงมาขวางอีก ต้นไม้ใหญ่กว่าโคนขาสองต้น เลื่อยของเราตะไบคมมาอย่างดี ร่องรอยช้างมีแค่ขี้กองเก่าๆ พวกมันคงอยู่ห่างจากบริเวณนี้ คงไม่มีต้นไม้ล้มขวางมาก
เส้นทางตัดขึ้นสันเขา ทางแห้ง โล่งไม่ลื่นไถล มองเห็นลำห้วยสายหลักทอดยาว คดเคี้ยว สายน้ำลดระดับลงมาก หาดทรายขยายเป็นแนวกว้าง
ริมฝั่ง ร่องรอยกระแสน้ำพัดรุนแรงในช่วงฝนที่ผ่านมายังปรากฏให้เห็น
เมื่อลำห้วยและริมฝั่งเริ่มรกทึบ สายน้ำมักทำหน้าที่กวาดล้างให้เรียบโล่ง
บนสันเขา ผมหยุดรถมองผ่านกล้องสองตา บนพื้นทรายอันราบโล่ง มีรอยตีนควายป่าเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้รอยเดียว เบื้องบน เหยี่ยวรุ้งบินวนเหนือผืนป่า ซึ่งมีสีแดง สีส้ม ตรงโน้นตรงนี้ จากการเตรียมตัวลดการใช้น้ำของเหล่าต้นไม้ เป็นสัญญาณปกติของความแห้งแล้ง
ลงจากสันเขา ทางเลาะผ่านโป่งใหญ่แห่งหนึ่ง ก่อนขึ้นเนินยาวอีกครั้ง และเริ่มลงสู่ดงไผ่
ในดงไผ่นั่นมีร่องลึกยาวราว 80 เมตร ก่อนข้ามห้วยเล็กๆ และขึ้นเนิน
ร่องลึกนั่นคือร่องรอยที่รถเราติดในเดือนที่แล้ว
ผมหยุดรถเมื่อสุดปลายเนิน อากาศเริ่มมืดสลัว ทั้งที่แค่ 16 นาฬิกา
“ทางแห้งแล้วละครับ คร่อมร่องเดิม ไปและชิดขวาตอนก่อนข้ามห้วย ดินแข็งน่าจะผ่านไปได้นะครับ”
ผมบอกเพื่อนร่วมทาง หลังเดินไปสำรวจ ข้างร่องลึกมีรอยตีนเสือโคร่งเก่าๆ
เหลือระยะทางอีกราวหนึ่งชั่วโมง เราจะถึงแคมป์
ผมขึ้นรถ ติดเครื่อง มือตบที่พวงมาลัยเบาๆ อย่างให้กำลังใจรถ
“เอาหน่อยนิค”
ผมออกรถเร่งเครื่อง รถกระเด้งกระดอนมาได้ราว 20 เมตรก็จม ดินที่เห็นว่าแห้งๆ นั้นแท้จริงข้างล่างยังเละ อ่อนนุ่มเกินกว่าจะรับน้ำหนักรถ
รถจม ล้อมิด เราผลัดกันขุดดินให้ล้อโผล่ ใช้แม่แรงช่วยยกให้ล้อลอย เอาหินและไม้รอง เคลื่อนรถไปได้ทีละน้อย
19.30 น. ฟ้ามืดสนิท รถยังไม่พ้นหล่ม
“พอก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่าต่อ” ผมบอกเพื่อนร่วมทาง
ข้าวเหนียว หมูย่าง ที่ซื้อมาจากตลาดตอนสาย เป็นอาหารเย็น
ปูผ้ายางข้างรถเป็นที่นอน อากาศเริ่มเย็น ผมเอนตัวลงบนผ้ายาง คลี่ถุงนอนห่ม ดงไผ่ทึบเกินกว่าจะเห็นท้องฟ้า คืนฟ้ามืดดาวคงส่องประกายระยิบระยับ
มองไม่เห็น แต่ผมรู้ว่า ในคืนเดือนมืด ท้องฟ้าฤดูแล้งย่อมเป็นเช่นนี้
รุ่งเช้า เราใช้เวลาอีกกว่าสองชั่วโมงจึงผ่านพ้นหล่มมาได้ ก่อนถึงแคมป์ ต้องเสียเวลากับการเลื่อยต้นไม้ที่ล้มขวางอีกต้น
เราทำงานอยู่ 7 วัน ผมออกมาซื้อเสบียงและส่งงานหลายชิ้น
ตรงร่องลึกที่ติด เราใช้ไม้ไผ่สองท่อนวางคู่ เป็นคล้ายสะพานค่อยๆ เคลื่อนรถผ่านมาได้
ลงจากสันเขาได้สักสองกิโลเมตร เป็นบริเวณป่าเต็งรัง พื้นเส้นทางเป็นกรวดก้อนเล็กๆ ช่วงแล้งจะร้อนระอุ
ผมแตะเบรกเมื่อเห็นข้างหน้ามีพระภิกษุกลุ่มใหญ่นั่งอยู่บนทาง ในป่าด้านตะวันตก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะพบกับภาพเช่นนี้
“จะเข้าเมืองไหมโยม” พระรูปหนึ่งถาม
“ขอติดรถไปด้วยเถอะ มีพระป่วย”
“นิมนต์เลยครับ” ท่าทางอิดโรยของพระ ทำให้ผมไม่ลังเล
เดินป่าระยะไกล ยาวนาน สำหรับผู้ไม่คุ้นเคย ไม่ง่ายนัก
ผมส่งพระที่วัดในเมือง ซื้อเสบียงและเดินทางกลับเข้าป่า เห็นท่าทางอิดโรยของพระ นอกจากจะนึกถึงคำว่าทางลัด
ผมได้เรียนรู้บทเรียน
พวกท่าน “สอน” ผม โดยไม่ได้สอน
เส้นทางสู่จุดหมายใดๆ อาจต้องใช้เวลา ใช้เส้นทางอย่างที่ควรเป็น การใช้ทางลัดด้วยความเชื่อว่าจะถึงจุดหมายรวดเร็วกว่า อาจทำให้ผู้เลือกเดินพบว่า ต้องใช้เวลามากกว่า ยุ่งยาก และเหน็ดเหนื่อยกว่า
เดินทางในป่า หล่มลึก เนินลื่นไถล บนทางปกตินั้น บางครั้งไม่ใช่หาทางหลบเลี่ยง
สิ่งที่ควรกระทำคือ ผ่านไปให้ได้ เมื่อผ่านพ้นอุปสรรคมาได้แล้ว สิ่งที่ได้มาเรียกมันว่าประสบการณ์
และมันจะช่วยไม่ให้ลงไปติดซ้ำในหล่มเดิม