ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
สร้อยสรภูพรายขจี
๐ นวยยอดทอดก้านใบบาง พฤกษาสรรพาง-
คสร้อยสรภู พรายขจี ฯ
กาพย์ฉบังบทนี้จากวรรณคดีสมุทรโฆษคำฉันท์เมื่อพระสมุทรโฆษประทับแรมไพรคราวเสด็จออกวังช้าง คือคล้องช้าง
ติดใจคำว่า “สรภู” เปิดพจนานุกรมดูสรภู (อ่าน-สะระภู) แปลว่า “ตุ๊กแก”
ได้ภาพได้ความทันที “สร้อยสรภู” ก็คือ “ลายตุ๊กแก” นั่นเอง
คือต้นไม้ในป่าใหญ่ที่ออกลายสีผิวของเปลือกไม้อย่างลายตุ๊กแก คงเคยเห็นและนึกภาพออกนะ
ได้ภาพได้ความจากคำจึงทำให้ได้ “รสกวี” ของกาพย์ฉบังบทนี้สมบูรณ์
คำ “นวยยอด” ได้ภาพเป็นสองภาพตรงๆ คือ “หน่วย-ยอด” ที่หมายถึงตำแหน่งของยอด อีกภาพคือความเคลื่อนไหว “นวยนาด” ของยอดที่ “ทอดก้านใบบาง”
“พฤกษาสรรพาง-” คำเต็มของ “สรรพาง-” คือ “สรรพางค์ แต่กวีเลื่อนคำท้ายของ “สรรพางคะ” เอาคำ “คะ” มาไว้อีกวรรคต่อไปคือ “คะสร้อยสะระภูพรายขจี”
ต้องอ่าน “คะสร้อยสะระภูพรายขจี” เต็มๆ อย่างนี้เลยจะได้รู้สึกถึงรสไพเราะและจังหวะจะโคนของวรรคกวีวรรคนี้เต็มที่
ฉบัง 16 บังคับให้มีสิบหกคำในหนึ่งบท โดยแยกเป็นสามวรรค วรรคแรกหกคำ วรรคสองสี่คำ วรรคสามคือวรรคท้ายหกคำ
คำในกาพย์กลอนนั้นถือเอา “จังหวะ” เป็นสำคัญ อย่างฉบังบทนี้ วรรคแรกหกคำได้จังหวะหกพอดีคือ “นวยยอด-ทอดก้าน-ใบบาง”
วรรคสองนี้พิเศษตรงที่จะอ่านเป็นสี่คำพอดีจังหวะก็ได้คือ “พฤกษา-สรรพาง-” อ่านเป็น “สันพาง” หรือจะอ่านเป็น “สันระพาง” ก็ได้ แม้จะเกินสี่คำคืออ่านเป็น “พรึกสา-สันระพาง” ห้าคำก็ได้เพราะไม่เสียจังหวะสี่ คำสันระพางถือว่ายังอยู่ในจังหวะสองด้วยคำ “ระ” เป็นคำที่มีน้ำหนักเบาๆ ไม่ทำให้เสียจังหวะสอง
วรรคท้ายนี่สิพิสดารคือ “คะสร้อย-สะระภู-พรายขจี” สะระภูกับพรายขจีมีถึงสามคำ ในแต่ละจังหวะ แต่อ่านรวบโดยคำแล้วยังอยู่ในจังหวะสองนั่นเองคือ
สอง-สอง-สอง
คะสร้อย-สะระภู-พรายขจี
สองวรรคนี้ต้องอ่านแบบนี้
“พรึกษา สันระพาง คะสร้อย สะระพู พรายขะจี”
นี้คือศิลปะของการใช้คำกวี
ศิลปะการใช้คำกวีคือการรู้จังหวะจะโคนของทั้งคำและเสียงคำ
สำคัญยิ่งคือความหมายของคำ ดังยกเอาคำ “สรภู” เป็นตัวอย่าง หากอ่านเอาจังหวะจะโคนก็ได้แค่ความไพเราะของเสียงกับจังหวะ ยิ่งคำฉันท์สมุทรโฆษ ซึ่งถือว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทฉันท์ มีอายุราวห้าร้อยปีมาแล้ว อย่าว่าแต่จังหวะและเสียงเลย ยิ่งคำยากด้วยศัพท์แสงและโวหารแล้ว การเข้าถึงความหมายยิ่งพลอยยากยิ่งขึ้นไปอีก
รสที่ได้จึงดูเหมือนเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ให้บรรยากาศลึกลับเพียงเท่านั้น
แม้กระนั้น บางบท บางคำก็ฉายประกายเจิดแจ่มให้ได้ภาพและความเปรียบเทียบได้โอฬารนัก
เช่นฉบังบทนี้
ดุจฟ้าฟาดเพชรคีรี ดุจเสียงชลธี
รลอกกระฉอกผกาแจรง
นึกดูว่า ฟ้าผ่าภูเขาเพชรนั้นจะกัมปนาทขนาดไหน แรงสุดกับแข็งสุดนั่นแหละ
รลอกกระฉอกผกาแจรง นี่ก็เช่นกัน จะว่าหวั่นไหวหรือหวามไหวก็ได้ทั้งหมด นึกถึงระลอกน้ำที่กระฉอกกระฉ่อนจนดอกไม้กระจายกลีบนั่น
บทนี้เมื่อพระสมุทรโฆษเสด็จประพาสไพร บทต่อจากบทต้นที่ลงว่า “…ผกาแจรง” อีกสองบทคือ
บดดินบดฟ้าบดแสง สุริยศักดิ์สำแดง
ตระหลบด้วยธุลีเลือน
คือจะพกแผ่นหล้าฟ้าเฟือน คือจะเห็จเอาเดือน
ตระวัน แลดวงดารา
คำว่า “พก” ในบทสอง เราคิดว่าน่าจะเป็น “ผก” นะ นี่ก็คิดเอาเองตามประสาคนพ้นสมัย
คําเก่าอีกคำที่พอเห็นภาพจากบทหมอเฒ่าทำพิธีเบิกไพรวังช้าง คือบทกาพย์ยานี 11 ว่า
หมอจึงเอาพัสตรา มานุ่งไม้อันนฤมล
สวดมนต์ละลายคน- ธวิเลปนสรรพสม
คำ “นุ่งไม้” คือเอาผ้ามาห่มต้นหรือพันลำต้นอย่างที่พบกันอยู่ปัจจุบัน อันหมายเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้น
อีกบทเป็นฉบังขยายความ “นุ่งไม้” ก็คือ
เข้าโอบเอวไม้มั่นหมาย มนต์สังวัธยาย
ก็แสร้งสรรเสริญพฤกษา
“โอบเอวไม้” ก็คือ “นุ่งไม้” ด้วยผ้าพันลำต้นที่เปรียบเป็น “เอวไม้” อีกนั่นเอง ชวนให้เห็นภาพ “นางไม้” ชัดเจนดีนัก
ช่วงท้ายเมื่อพระสมุทรโฆษพลัดจากนางพินทุมดีที่กลางน้ำ นางพินทุมดีขึ้นจากน้ำกระทั่งมีโอกาสได้สร้างโรงทานและให้สร้างจิตรกรรมคือให้ช่างวาดรูปเล่าเรื่องระหว่างพระสมุทรโฆษและนางพินทุมดีไว้ กระทั่งพระสมุทรโฆษตามมาพบจากภาพจิตรกรรมนั้นเอง
ตรงนี้ทำให้คิดถึงยุคสมัยนี้ ถ้าสองพระองค์ต่างทรงมี “จอแผ่น” หรือมือถือ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ช่างมาเขียนรูปเล่าเรื่องเพื่อสื่อสารในลักษณะเสี่ยงถึงอย่างนั้น และจะหวังเจอได้เมื่อไรก็ดูเลื่อนลอยเต็มที
แต่ก็นั่นแหละ หากทั้งคู่มีมือถือ
ภาพจิตรกรรมก็ไม่ต้องมี วรรณคดีก็ต้องเปลี่ยนไป
นี่คือยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง