จดหมาย/ฉบับประจำวันที 23-29 เมษายน 2564

จดหมาย

 

ถึง “เพนกวิน”

ตามที่พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎรผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตามความผิดมาตรา 112 มาตรา 116 อดอาหารประท้วงนั้น

อยากให้เพนกวินหยุดทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว อยากให้รักษาชีวิตไว้ก่อน

เพื่อต่อสู้ตามอุดมการณ์ในอนาคตเพราะอายุยังน้อย

การต่อสู้ยังอีกยาวไกล

ไม่สมควรที่จะมาเสียสละชีวิตในตอนนี้

โดยตกหลุมพรางการใช้ไอโอของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ที่เคยบอกว่าจะไม่ใช้ ม.112

แต่ปัจจุบันกลับมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย

ซึ่งการแจ้งความในฐานความผิดตาม ม.112 นั้น

ควรเป็นหน้าที่การพิจารณาของอัยการสูงสุด (อสส.) กับสำนักพระราชวัง

ไม่ใช่ใครจะเป็นผู้เสียหายไปแจ้งความว่าใครมีความผิดตาม ม.112 ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้

ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนเสียหายกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

เป็นภาระของกระบวนการยุติธรรม

แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับลอยตัวอยู่เหนือปัญหา

ในอดีตถึงปัจจุบันมีคนที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์เยอะแล้ว

แม้กระทั่งลูกชายของลุงเองที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ รสช.

แต่จะต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าว่ามีน้ำหนักที่จะต้องเสียสละชีวิตมากน้อยแค่ไหน

เพราะเพนกวินอาจจะต้องเป็นแกนนำของบ้านเมืองในอนาคต

ในขณะที่ลุงเป็นไม้ใกล้ฝั่ง อีกไม่นานก็จะเป็นอดีตไปแล้ว

จึงได้แต่อ้อนวอนลูก-หลานว่าอย่าเอาชีวิตมาแลกแบบนี้เลย

ให้เอาชีวิตของลุงไปจะดีกว่าที่จะเอาอนาคตของชาติไปก่อนวัยอันควร

หลังเหตุการณ์พฤษภา’35

ลุงต่อสู้กับเผด็จการ รสช.ทุกรูปแบบทั้งในประเทศและต่างประเทศไปถึงองค์การสหประชาชาติ

จนถึงปี 2542 ถึงชนะแบบเบ็ดเสร็จ

ซึ่งช่วงนั้นลุงไม่ใช่นายอดุลย์แบบคนธรรมดาทั่วไป

เพราะถูกมองว่าเป็นบุคคลอันตราย จะทำมาค้าขายกับใครก็ลำบาก

จนต้องเปลี่ยนชื่อถึงมาอยู่ในสังคมแบบปกติได้อีก

จึงอยากนำประสบการณ์ของตัวเองมาบอกลูก-หลานด้วยความห่วงใยในฐานะอนาคตของชาติ

อยากให้รักษาชีวิตไว้

จึงขออ้อนวอนพิจารณาด้วยความถ่องแท้

ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่ขัดขวาง

เคารพในการทำหน้าที่ของแต่ละคน

ซึ่งลุงเองก็ไม่คิดว่าจะต้องมาทำหน้าที่ไล่เผด็จการระบอบประยุทธ์ในยามใกล้ฝั่ง

แต่ก็จำเป็นเพื่ออนาคตของลูก-หลานเช่นกัน

นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์

ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35

แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย

 

แม้รู้ว่าเพนกวิน

คงไม่ได้อ่าน “อีเมล” ของลุงอดุลย์ฉบับนี้

แต่ก็อยากนำเสนอ

เสนอเพราะอยากให้คนไทยอื่นๆ ได้อ่าน

อ่านแล้วเผื่อจะอยากส่งเสียงถึงเพนกวินบ้าง

ส่งเสียงอะไร อย่างไร

เป็นสิทธิของแต่ละท่าน

แต่ลูกหลานเราไม่ควรติดคุกในห้วง “พิจารณาคดี”

 

ถึง “ทราย”

ได้ตามการแสดงออก ของนักแสดง นักเขียน คอลัมนิสต์ นักร้อง นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

นาม “อินทิรา (ทราย) เจริญปุระ”

ผมขอชื่นชมในผลงานทุกมิติ

จึงเขียนถึงเธอคนนี้

ชื่อ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ ดังนี้

 

สังคมมีดีชั่วทุกหัวระแหง

เปรียบหินแกร่งกาลเวลาสถาผล

ท้าพิสูจน์คุณสมบัติชัดในตน

พิพากษาค่าของคนทุกคนไป

 

ทราย เจริญปุระ ประจักษ์แจ้ง

นักแสดงตัวจริงผู้ยิ่งใหญ่

ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตย

ผองชาวไทยยินดีศรีแผ่นดิน

 

ร่วมชุมนุมชุมทางมิตรสร้างสรรค์

ปฏิรูปเรื่องสำคัญอันโหดหิน

ที่กดทับประชาชนจนเคยชิน

ที่ดูหมิ่นประชาชนจนเคยตัว

 

เรียกร้องหายุติธรรมอยู่ถ้ำลึก

กฎหมายเปื้อนน้ำหมึกรู้สึกมั่ว

กรรมการตัดสินลิ้นพันพัว

ทาสรับใช้นายหวัวขั้นนัวเนีย

 

ถูกเป็นผิดผิดเป็นถูกทุกตาชั่ง

นะจังงังเข้าฝ่ายไม่ยอมเสีย

นั่งดามคอรอคำชมเด็กผมเปีย

จำเลยใจละเหี่ยเบี้ยโบราณ

 

คุกไว้ขังฝูงชนจนอำนาจ

สุดอนาถจึงพามาร้องขาน

ขอเอ่ยปากสักยามตามสันดาน

อันธพาลล่องหนจากชนชั้น

 

เห็นแม่ยกทุ่มแรงทุนแห่งชาติ

มองแก่ราษฎร์ปลดแอกออกแอ๊กชั่น

ปลื้มปีตินิมิตคิดร่วมกัน

สมานฉันท์กลุ่มนานาสารพัด

 

เสียสละประโยชน์ตอบโจทย์ได้

ด้วยจิตใจมุ่งมั่นฐานซื่อสัตย์

เลิกเชิดชูผู้ปกครองคนของรัฐ

โคตรถนัดคอร์รัปชั่นตราบวันตาย

สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ

ชูเกียรติ วรรณศูทร

 

“ทราย เจริญปุระ” คงได้อ่าน

และคงเป็นกำลังใจ

ในการฟันฝ่าการต่อสู้อันยากลำบากนี้ต่อไป

สำหรับผู้คิดถึงทราย พลิกไปที่หน้า 81

อ่านคอลัมน์เปลี่ยนผ่าน

“จาก ‘ทราย’ ถึง ‘เพนกวิน-รุ้ง’

คุณคือ ‘ลูก’ และ ‘ความหวัง’ ของมวลชน”