ปิดปาก : เรื่องสั้น

เมื่อ 2 ปีก่อน ร้านขายข้าวมันไก่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาร้านนี้มีเพียงคูหาเดียว ดูออกจะแคบไปหน่อยหนึ่ง ถึงกระนั้นก็เถอะ ผ่านแถวนี้ครั้งใด ผมเป็นต้องแวะเข้าอุดหนุนทุกครั้งเรื่องรสชาติของข้าวมันไก่ก็อย่างนั้นๆ แหละ ไม่วิเศษวิโสไปกว่าร้านอื่นเลย ส่วนเรื่องร้านตั้งอยู่ในทำเลดี ใกล้ท่าเทียบเรือข้ามฟาก กินข้าวไปพลาง ดูการเคลื่อนไหวของผู้คนไปพลางได้อาหารตาไปด้วยนั้นมีส่วน แต่ไม่ใช่ความมุ่งหมายที่แท้จริง

โน่นไง…สาววัยรุ่นผู้ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นแล้วไม่ยอมผูกผ้ากันเปื้อนคนนั้นแหละ คือนางกวัก กวักผมให้เข้าไปในร้านของเธอเหมือนถูกเวทมนตร์ดลใจ

หมวยเป็นลูกสาวของเจ้าของร้าน ถ้ายังเรียนหนังสือเห็นจะอยู่ในระดับอุดมศึกษา แต่หมวยเลือกเอาดีทางการค้าขาย มีผู้ช่วยอยู่หลังร้าน 3-4 คน ในจำนวนนั้นมีเตี่ยของหมวยอยู่ด้วย อายุไม่เกิน 50 ปี นานๆ จึงจะออกมาหน้าร้านสักครั้ง หน้าตาไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอะไรกันกับหมวย ทางหน้าร้านเป็นหน้าที่ของหมวยกับเด็กหนุ่มหน้าจืดคนหนึ่ง

เพียงหมวยหน้าตาดี ผิวขาวผ่องเป็นยองใย เท่านี้ก็น่าจะเกินพอแล้ว ในการจะสร้างความรู้สึกให้แก่บรรดาผู้ชายที่เข้ามาในร้าน ว่าข้าวมันไก่ของเธอมีรสชาติอร่อยชวนกิน หมวยยังมีของแถมอีก ปากของเธอส่งเสียงดุลูกจ้างหนุ่มอยู่แทบตลอดเวลา ถ้าจะว่าปากของหมวยช่วยเรียกลูกค้าด้วยก็ไม่น่าจะผิด

“ใช่แล้ว…ไม่ผิด” ลูกจ้างหน้าจืดของหมวยนั่นแหละเป็นคนยืนยัน “หมวยบ๊งเบ๊งมากเท่าไร คนก็เข้าร้านมากขึ้นเท่านั้น พี่เชื่อไหมว่า คนสมัยนี้เป็นโรคจิตกันมาก?”

ผมสะดุ้ง ถอนสายตาจากโคนขาอวบขาวเหมือนหยวกกล้วยของหมวยด้วยความเสียดาย ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่คำพึมพำ เด็กหนุ่มยังจับใจความได้ หรือเขาคิดของเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าทางที่จะยืนยัน

ไม่เลวนี่ คิดเป็น แล้วยังมีความรู้เสียด้วยสิ ความรู้นอกโรงเรียนไงล่ะ เวลานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในร้าน เขาจะปราดเข้าไปซักถามความต้องการเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่กระท่อนกระแท่นเหมือนคนติดอ่าง หากเป็นประโยคเลยทีเดียว สำเนียงฝรั่งที่งึมงำอยู่ในลำคอคล้ายเสียงหมีกินผึ้ง ที่คนมีการศึกษายังฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนั้น เด็กหนุ่มหน้าจืดฟังออก แล้วให้บริการอย่างฉับไว เบียร์ น้ำอัดลม เครื่องดื่ม ถ้าในตู้เย็นในร้านไม่มี เขาจะสั่งให้ร้านที่อยู่ติดกันนำมาส่งให้ บางครั้งผมเห็นเขาชี้แนะเส้นทางให้นักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่อยากจะไปด้วยแผนที่ขนาดใหญ่ที่เขามีอยู่ เห็นนักท่องเที่ยวพยักหน้ากันหงึกๆ แสดงว่ารู้เรื่อง เข้าใจ เก่งอย่างนี้ ควรได้รับคำชมเชย

ไม่ใช่ถูกสับเหมือนไก่ในร้านที่แขวนไว้

หลังจากรู้สึกตัว ผมยิ้มเก้อๆ ให้เด็กหนุ่ม สมาธิผมไม่แน่นิ่งตั้งแต่นั่งมองหมวยมาตั้งแต่เริ่มเข้าร้าน ได้ยินนะได้ยิน แต่มาชัดเจนในประโยคหลัง ไม่รู้ว่าอาการของผมจะอยู่ในข่ายที่เขาขอความเห็นด้วยหรือเปล่า

“โรคจิตหรือ…โรคจิตอย่างไร?”

“พี่เคยสังเกตหรือเปล่า เวลาคนเราทะเลาะกัน ด่าว่ากันอย่างรุนแรง คนนอกแทนที่จะช่วยห้าม กลับชอบ ไม่กล้าฟังอย่างเปิดเผย แอบฟังก็ยังดี คนที่ไหนๆ ก็มาในแบบเดียวกันทั้งนั้น”

เห็นผมนั่งฟังอย่างสนใจ เขาร่ายต่อ “อย่างเช่นหมวยเล่นงานผม คงสมน้ำหน้าผมในเวลาเดียวกันก็สบอารมณ์สะใจที่ได้ยินเสียงแปร๋แปร๋นของหมวย คนสวยจะทำอะไรก็ดูดีไปหมด แม้แต่คำดุด่าก็น่าฟัง ผมเห็นคนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บางคนถึงกับเอียงหูฟัง อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าโรคจิต แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?”

มีเสียงเรียกก่อนจะผละไป เขายังย้อนถามผม “หรือที่ผมพูดพี่ว่าไม่จริง?”

ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เขาต้องทิ้งคำถามไว้ รีบเผ่นไปทำหน้าที่เดินโต๊ะตามเสียงเรียกกระชากๆ ของหมวย ซึ่งแสดงความไม่พอใจออกมา ผมโดนถูกค้อนไปด้วยที่ชวนลูกจ้างของเธอคุย หมวยคงคิดว่าจะเสียการเสียงาน

ที่แท้ไม่ใช่ ยังเช้าลูกค้ายังบางตาอยู่ เธอเองก็ยังว่าง นั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตัวของเธอ หนุ่มหน้าจืดก็ไหวตัวอยู่เสมอ ถ้ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน เขาจะปราดไปทำงานทันที ผมเองก็รู้จักกาลเทศะ มีเหตุผล

จากการเห็นหน้ากันบ่อย ผมกับเด็กหนุ่มหน้าจืดจึงคุยถูกคอกันดี หมายถึง เวลาที่เขาว่างนะครับ เขาบอกผมว่าเขามาจากขอนแก่น ชื่อพลสิงห์ ตอนเขาบอกชื่อผมถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่ม โธ่เอ๊ยชื่อเสียน่าเกรงขาม ที่แท้เป็นเพียงลูกหมาเชื่องๆ ตัวหนึ่งสำหรับหมวย หมวยสั่งให้ทำอะไรรีบทำไม่รีรอ หัวอ่อนอันเป็นลักษณะนิสัยที่ดีอย่างหนึ่งของคนภาคอีสาน นอกเหนือจากความขยันหมั่นเพียร ความจริงใจและความซื่อสัตย์

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เป็นที่รู้กัน คนภาคนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ลำบากกว่าคนภาคอื่น แต่ผู้คนยังสนุกสนานร่าเริง อันดูได้จากการร้องรำทำเพลง ทุกท้องถิ่นมีหมอลำ มีนักร้อง นักแต่งเพลง ผมชอบฟังเสียงแคน รู้สึกว่าไพเราะเร่งเร้าเร้าอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน ชอบดูสาวๆ รำเซิ้งด้วยลีลากระฉับกระเฉง ทำให้เกิดอาการกระปรี้กระเปร่าตามไปด้วย มวยไทยที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในขณะนี้ นักมวยเก่ง มีชื่อเสียงก็เป็นคนอีสานเสียเป็นส่วนใหญ่

ผมแน่ใจว่าผมเข้าถึงวิถีชีวิตของคนอีสานเป็นอย่างดี พลสิงห์ก็เช่นเดียวกับหนุ่มอีสานคนอื่นๆ ที่เดินตามรอยของคนภาคเดียวกัน ซึ่งสร้างตำนานไว้โดยการทิ้งถิ่นกำเนิดเข้ามาทำงานในเมืองหลวง

เขาเล่าว่า “ผมเป็นลูกจ้างของเขามาหลายแห่งแล้ว อยู่ที่ไหนไม่ยืด เพราะนายจ้างเฮี้ยบเกินไป ใช้งานหัวไม่วางหางไม่เว้น เอาแต่ประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ ไม่มีใครใจกว้างเลยสักคน”

จากประสบการณ์ที่เขาเล่า ทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ชอบนายจ้าง แต่นับว่าโชคยังดีที่ไม่ต้องออกไปทำงานนอกเมือง จังหวัดใกล้เคียงหรือต้องออกทะเลที่เป็นการเสี่ยง เหมือนพวกแรงงานต่างด้าวที่ทำกันอยู่ในขณะนี้

“ถึงไม่มีนายจ้างที่ดี แต่ไม่มีใครกล้าดูถูกดูแคลนผม” หนุ่มจากที่ราบสูงระบายความในใจต่อ “มีแต่หมวยนี่แหละที่กล้าแหวผม” เขาถอนหายใจยาว ปล่อยความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอยู่ออกมา

“ถ้าหากมองในแง่ดี หมวยต้องการให้ผมเรียนรู้งาน ทำงานเป็น พูดหยาบคายไปบ้างก็เฉพาะผม ไม่เคยลามปามไปถึงบรรพบุรุษของผมแม้แต่ครั้งเดียว ผมจึงหักอารมณ์ได้ ไม่โกรธ”

“แปลว่า หมวยปากร้ายกับเราอย่างมีศิลปะ ว่างั้นเถอะ”

นายพลสิงห์ทำหน้าฉงน “การว่าคนอื่นให้เสียๆ หายๆ เป็นศิลปะด้วยหรือพี่?”

“เป็นสิ พูดอย่างไรให้หนำใจตนเอง โดยผู้ถูกต่อว่าไม่เกิดโมโหโทโส ยากนะที่จะทำเช่นนี้ เมื่อหมวยทำได้ นับว่ามีศิลปะ หมวยเก่ง”

“พี่พูดเหมือนกับว่า ผมพอใจที่จะให้หมวยเล่นงานผมเรื่อยๆ ไปอย่างนั้นแหละ พี่เข้าใจผิดนะ ผมก็มีหัวใจเหมือนกัน อายเขาจะตายไป ถ้าไม่เกิดมาจน ผมคงทนไม่ได้”

“หมวยคนเดียวหรือที่ปากร้าย?”

“ครับ เตี่ยของหมวย ถ้าผมทำอะไรไม่ถูกเพียงแต่แนะนำ”

ผมปรายตาไปทางหมวย ซึ่งใช้เวลาว่างพักผ่อนอยู่ในมุมประจำของเธอ ผมเคยเห็นหมวยในระยะใกล้มาแล้ว ใบหน้าของหมวยเกลี้ยงเกลา ไม่มีไฝฝ้าราคีแม้แต่น้อย ถึงมีการแต่งหน้าบ้างก็แต่งแต่เพียงบางเบา ให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด

คำว่า “ขาว สวย หมวย อึ๋ม” เป็นอย่างนี้เอง ผมอดคิดถึงดาราจอแก้วเชื้อสายจีนคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ เพราะชอบเธอมากทั้งรูปร่างหน้าตาบทบาท ติดตามการแสดงของเธอเสมอมา แต่ถ้านำมาเทียบกับหมวยแล้ว หมวยกินขาด

เพราะได้เห็นตัวจริงของหมวย ไม่ใช่ภาพหรือเงา ข้อสำคัญดาราคนนั้นเป็นดอกกุหลาบที่บานเมื่อวาน รอร่วงโรย แต่หมวยกำลังคลี่กลีบบาน ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ใช่แล้ว ริมฝีปากที่บางได้รูปนั้นมีสีแดงเรื่อเหมือนกลีบดอกกุหลาบไม่มีผิด

พอหมวยลุกขึ้นเดินเข้าไปหลังร้าน ตาของผมกับหนุ่มจากที่ราบสูงสบกัน

“วิธีที่จะไม่ให้ถูกจาบจ้วงมีอยู่” ผมบอกเขา “แต่ต้องทำใจให้กล้าๆ หน่อย” ท่าทางของพลสิงห์ดูตื่นเต้น ตามีประกายแห่งความหวัง เหมือนคนไข้ได้พบกับหมอที่ตนเชื่อมั่น ผมเชื่อแล้วว่า เขาต้องการหลุดพ้นจากสภาพที่ได้รับอยู่จริงๆ

“ทำอย่างไร พี่ช่วยแนะนำผมเอาบุญด้วย”

ผมยืดอกขึ้นให้สมกับเป็นผู้รู้ ชำเลืองสายตาไปทางหมวยที่เพิ่งออกมาจากทางหลังร้าน

“ปิดปากเธอเสียก็สิ้นเรื่อง!”

นั่นเป็นเรื่องราวก่อนผมจะไปอยู่กับครอบครัวของคุณอาในระยะหนึ่งที่ปักษ์ใต้ ชั่วคราวก็จริง แต่ปาเข้าไปเกือบ 2 ปีทีเดียว วันนี้ผมกลับมาแล้ว ได้ข้อคิดมาเพียบ ตั้งใจจะใช้ชีวิตให้เป็นแก่นสารเสียที แต่ตอนนี้ขอไปเยี่ยมสถานที่ที่เคยคุ้นเคยก่อน

หมวย นายหน้าจืดเปลี่ยนแปลกไป คูหาติดกันที่เคยเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว ผนังไม้ที่กั้นไว้โปร่งๆ พอให้รู้ว่าเป็นคนละส่วน กลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านขายข้าวมันไก่ไปด้วย ร้านเลยกว้างขวางขึ้น เด็กคอยบริการลูกค้ามีหลายคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย คนสับไก่ก็เป็นผู้หญิง แต่ไม่ใช่หมวย นายพลสิงห์ก็ไม่รู้ว่าหายหน้าไปไหน

เก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ เรียกเด็กคนหนึ่งเข้ามาถาม เด็กบอกว่า

“พี่เขาออกไปทำธุระข้างนอก ประเดี๋ยวก็คงกลับ”

สั่งข้าวมันไก่แล้ว ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ร้าน ครั้งนี้ไม่มองผาดอย่างครั้งแรก นั่นแน่…ตรงมุมใหญ่ของร้าน หมวยนั่งอยู่ตรงนั้น ยังสวยไม่สร่าง มีน้ำมีนวลกว่าเมื่อก่อนเสียด้วยซ้ำ ครั้งหนึ่งเธอหันหน้ามาทางผม ขมวดคิ้ว พอนึกออกสะบัดหน้ากลับไปโดยเร็ว ไม่รู้เป็นอย่างไร หมวยไม่ชอบขี้หน้าผมเอาเสียเลย

15 นาทีผ่านไป นายพลสิงห์ถือซองเอกสารเข้ามาในร้าน ให้ตายเถอะ การแต่งเนื้อแต่งตัวของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พอเด็กเดินโต๊ะคนนั้นเข้าไปบอก เขาเดินตรงมายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ เมื่อเห็นถนัดว่าเป็นใคร เขายกมือไหว้ ส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล

“พี่เอง ไปไหนเสียนานล่ะ คิดถึงอยู่เสมอ” เขาจับมือผมบีบค่อนข้างแรงแสดงอาการดีใจจนเห็นได้ชัด

“ดีใจจังเลยที่ได้พบพี่”

เขาทำท่าเหมือนจะนั่งลงเพื่อคุยด้วย ขณะเดียวกันคล้ายเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาบอกผมว่า

“ขอโทษนะพี่ ขออนุญาตเอาเอกสารไปเก็บก่อน วันนี้ผมจะเลี้ยงพี่ให้เต็มที่ อย่าเพิ่งไปไหนนะ”

แล้วเด็กหนุ่มก็ก้าวยาวๆ ไปหาหมวย หมวยซักถามไม่ขาดปาก เหมือนตั้งใจจะหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้มาพบผม ท่าทีของคนทั้งสองสนิทสนมเป็นกันเอง เกินฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง

ภาพการแสดงออกของหนุ่มสาว อยู่ในสายตาของผมตลอดเวลา แน่ยิ่งเสียกว่าแน่ หมวยสิ้นฤทธิ์เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว

ผมนั่งซึมเซ่ออยู่ในร้าน สมน้ำหน้าตัวเองที่แส่ในเรื่องของคนอื่นดีนัก ทำไมผมจะจำไม่ได้ ก่อนผมลงไปปักษ์ใต้ ผมยุยงหนุ่มหน้าจืดว่าอย่างไร อันที่จริง เขากับหมวยอยู่ในวัยเดียวกัน ใกล้ชิดรู้ใจกัน เถาวัลย์พันไม้ใกล้…เป็นเรื่องธรรมดา เตี่ยของหมวยนะหรือ? จะไปว่าอะไร เมื่อเห็นมานานแล้วว่าเขาขยัน อดทน ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ข้อสำคัญคือลูกสาวชอบ ถมเถไปที่คนมีเชื้อสายจีน ยกฐานะลูกจ้างให้เป็นลูกเขย เป็นเรื่องมีเหตุผลไม่ใช่เรื่องน้ำเน่า

รู้ดีแล้วทำไมต้องไปเสือกเร่งเวลาให้เขาไปสู่จุดจบเร็ว ขอรับสารภาพว่าผมพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่มีความจริงใจคนที่ผมต้องการให้ปิดปากหมวย เป็นคนอื่น ไม่ใช่หนุ่มหน้าจืด

เพียงแต่ผมลืมเสียสนิทว่า เขาผู้นั้นไม่มีสิ่งส่งเสริมให้ปฏิบัติการอันสุนทรกับหมวยเท่านั้นเอง

ก่อนหนุ่มผู้โชคดีจะทำธุระเสร็จแล้วมาพบผมตามที่เขาบอกไว้ ผมพยักหน้าเรียกเด็กคนที่อยู่ใกล้ที่สุดให้มาเก็บเงินแล้วเดินคอตกออกจากร้าน ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่มาที่นี่อีกต่อไป