แผนการลอบสังหาร ‘ราอูล คาสโตร’ กับการสิ้นสุดยุค ‘คาสโตร’ ในคิวบา / บทความต่างประเทศ

Picture released by Cuban News Agency (ACN) of Cuban First Secretary of the Communist Party Raul Castro speaking during the opening session of the 8th Congress of the Cuban Communist Party at the Convention Palace in Havana, on April 16, 2021. - The 8th Congress of the Cuban Communist Party (PCC) starting Friday will end over six decades of the government of Fidel and Raul Castro, giving way to a new generation. (Photo by Ariel LEY ROYERO / ACN / AFP) / RESTRICTED TO EDITORIAL USE - MANDATORY CREDIT AFP PHOTO / ACN / ARIEL LEY ROYERO - NO MARKETING NO ADVERTISING CAMPAIGNS -DISTRIBUTED AS A SERVICE TO CLIENTS

บทความต่างประเทศ

 

แผนการลอบสังหาร ‘ราอูล คาสโตร’

กับการสิ้นสุดยุค ‘คาสโตร’ ในคิวบา

 

หลังจากการประกาศ “ลามือ” จากการเป็นผู้นำประเทศคิวบา ของราอูล คาสโตร ที่ถือเป็นการ “สิ้นสุด” ยุคการครองเมืองของตระกูล “คาสโตร” ที่กินเวลายาวนานเกือบ 60 ปี

มีการเปิดเผยเอกสารของสำนักข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ของสหรัฐอเมริกา ออกมาเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ระบุว่า เมื่อปี 1960 ซีไอเอเคยพยายามที่จะ “ลอบสังหาร” นายราอูล คาสโตร ผู้นำในการปฏิวัติคิวบา

โดยรายละเอียดที่เปิดเผยในเอกสารที่เผยแพร่โดยเนชั่นแนล ซีเคียวริตี้ อาร์ไคฟ์ สถาบันวิจัยที่อยู่ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ระบุว่า ซีไอเอได้เสนอเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้นักบินขับเครื่องบินที่นายราอูล คาสโตร นั่ง จากกรุงปราก สาธารณรัฐเชก ไปยังกรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบา แล้วทำเป็นเกิด “อุบัติเหตุ” ขึ้น ด้วยหวังว่าจะสามารถสังหารนายคาสโตรได้

นักบินคนดังกล่าว คือนายโฮเซ ราอูล มาร์ติเนซ ที่ซีไอเอคัดเลือกมา และได้ขอให้ทำงานสำคัญดังกล่าว โดยนอกเหนือจากเงินค่าจ้างแล้ว ยังมีคำมั่นที่ว่า ซีไอเอจะส่งลูกชายทั้ง 2 คนของนายมาร์ติเนซได้เรียนจนจบระดับมหาวิทยาลัย หากนายมาร์ติเนซเสียชีวิตจากปฏิบัติการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อนายมาร์ติเนซได้เดินทางออกไปยังกรุงปราก เพื่อเตรียมตัวปฏิบัติการลอบสังหาร ทางสำนักงานใหญ่ของซีไอเอในสหรัฐอเมริกา ก็ได้แจ้งไปยังสำนักงานของซีไอเอในกรุงฮาวานา ให้ “ยกเลิก” ปฏิบัติการลอบสังหารนายราอูล คาสโตร โดยไม่ได้ให้เหตุผลอะไรเอาไว้

แต่เวลานั้น ก็ไม่สามารถสามารถติดต่อนายมาร์ติเนซได้อีกแล้ว กระทั่งนายมาร์ติเนซเดินทางกลับประเทศคิวบา ก็ได้บอกกับผู้ที่ว่าจ้างว่า เขาไม่มีโอกาสที่จะสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เป็นเหมือน “อุบัติเหตุ” ขึ้นมาได้ตามที่ตกลงกัน

ทำให้นายราอูล คาสโตร รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

 

ในตอนนี้ นายราอูล คาสโตร ในวัย 89 ปี ได้วางแผนที่จะวางมือจากการเมืองในคิวบา ด้วยการลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งการวางมือจากการเมืองทั้งหมดของนายราอูล คาสโตร จะกลายเป็นการสิ้นสุดอำนาจของตระกูล “คาสโตร” ที่ปกครองคิวบามาตั้งแต่หลังการปฏิวัติคิวบา เมื่อปี 1959 ที่นายฟิเดล คาสโตร พี่ชายของนายราอูล คาสโตร ได้ขึ้นปกครองคิวบานับจากนั้น

และผู้ที่จะขึ้นมาปกครองคิวบาต่อจากนายราอูล คาสโตร คือนายมิเกล ดิแอซ-คาเนล วัย 60 ปี ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคิวบามาตั้งแต่ปี 2018

ปีเตอร์ คอร์นเบลอ นักวิเคราะห์ของเนชั่นแนล ซีเคียวริตี้ อาร์ไคฟ์ เปิดเผยกับเอเอฟพี ถึงการเปิดเผยเกี่ยวกับความพยายามในการลอบสังหารนายราอูล คาสโตร ของซีไอเอว่า เป็นการเตือนให้นึกถึงด้านมืดและความชั่วร้ายของปฏิบัติการของสหรัฐที่มีต่อการปฏิวัติคิวบา

และการหยุดยุคของตระกูล “คาสโตร” ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐก็จะมีโอกาสในการทิ้งเรื่องราวประวัติศาสตร์เหล่านี้เอาไว้ข้างหลัง แล้วเดินหน้าสานสัมพันธ์กับอนาคตของคิวบา หลังยุคคาสโตรต่อไป

 

ทั้งนี้ ในอดีตสมัยฟิเดล คาสโตร ยังมีชีวิตอยู่และปกครองคิวบานั้น กินเวลาการปกครองของสหรัฐอเมริกาที่มีประธานาธิบดีเปลี่ยนไปถึง 11 คน และนายฟิเดล คาสโตร สามารถรอดพ้นจากความพยายามลอบสังหารมาได้หลายครั้ง

ตามสถิติของกินเนสส์ เวิลด์ เร็กคอร์ด ระบุว่า นายฟิเดล คาสโตร รอดพ้นการลอบสังหารมาได้ถึง 638 ครั้ง

รวมไปถึงความพยายามที่จะโค่นอำนาจในการปกครองประเทศของฟิเดล คาสโตร เมื่อปี 1961 ที่มีชาวคิวบาต่อต้านนายคาสโตรราว 1,400 คน ที่ได้รับการฝึกและได้รับเงินสนับสนุนจากซีไอเอ ออกมาพยายามที่จะโค่นการปกครองคอมมิวนิสต์ของนายคาสโตร แต่ก็ล้มเหลว

และฟิเดล คาสโตร สามารถอยู่ปกครองคิวบาได้ยาวนาน ก่อนจะส่งมอบตำแหน่งประธานาธิบดีคิวบาให้แก่นายราอูล คาสโตร น้องชายได้ปกครองคิวบาต่อ ในปี 2008 เนื่องจากสุขภาพไม่อำนวย

กระทั่งฟิเดล คาสโตร เสียชีวิตลงเพราะล้มป่วยหนัก ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2016 ขณะอายุได้ 90 ปี

และตอนนี้ นายราอูล คาสโตร ก็ขอประกาศวางมือจากการเมืองคิวบา ด้วยวัย 89 ปี เป็นอันสิ้นสุดยุคแห่ง “คาสโตร” ในการปกครองคิวบา

เครดิตภาพ AFP