พลังประชารัฐ ร้าวไม่เลิก สาวไส้กันเองโชว์สื่อ 4 ช.งัดข้อ 4 ว.ชิงเก้าอี้เลขาฯ / บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

พลังประชารัฐ ร้าวไม่เลิก

สาวไส้กันเองโชว์สื่อ

4 ช.งัดข้อ 4 ว.ชิงเก้าอี้เลขาฯ

ไม่รู้ไปปีนเกลียวกันอีท่าไหน ที่ทำให้ ‘สิระ เจนจาคะ’ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ออกมายอมรับว่า เป็นคนแฉ ‘จ๊อบ’ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ว่าจ้างบุคคลที่ถูกอ้างว่าเป็นตำรวจไปสอบในวิชาภาษาอังกฤษ สำหรับนักศึกษาปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง

โดยที่ตอนแรกจ๊อบ สามารถ ออกมาระบุว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวให้สื่อ หากสื่อบอกข้อเท็จจริง จะจ่ายเงินรางวัล 2 แสนบาท

โดยสามารถออกมาโพสต์ตอนหนึ่งระบุว่า

“เวลาเรียนก็ไปเรียนศุกร์กลางคืน วันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ใช้เวลาราชการไปเรียน และวิชาภาษาอังกฤษ ผมก็ได้บีบวกนะครับ ดังนั้น ข่าวที่ออกมาก่อนหน้า ก็เป็นเรื่องหวังผลทางการเมืองบางอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ใช่การให้ข้อเท็จจริงโดยหลักสุจริต ดังนั้น ใครให้ข้อมูล ที่ว่าใครเป็นแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลต่อสื่อ จนนำไปสู่การฟ้องร้องได้ ผมมอบให้ทันที 2 แสนบาท เพื่อรักษาปกป้องชื่อเสียงของผม และไม่ให้ใช้การเมืองแบบเก่ามาทำลายกัน ผมไม่เคยมีประวัติให้ใครไปเรียนแทนหรือไปสอบแทนนะครับ ดังนั้น ผมยังมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และปกป้องรัฐบาล ผมจะไม่ให้เรื่องการใส่ร้ายทางการเมืองมาทำลายปณิธานในการมุ่งมั่นทำในความดีของผม”

งานนี้ ‘สิระ’ ออกมาประกาศชัดเจนว่า ขอให้นายสามารถพูดจริงทำจริง เพราะตัวเองนั้นเป็นคนส่งข้อมูลให้ผู้สื่อข่าวเอง

แถมยังถามกลับไปที่นายสามารถจะจ่ายเงินหรือไม่ นายสามารถเป็นนักการเมืองควรจะแสดงสปิริตลาออก ไม่ต้องให้พรรคสอบสวน เพราะการให้คนไปสอบแทนเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ โดยมีหลักฐานเป็นเอกสารทางราชการจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง นายสามารถไม่ควรออกมาตะแบง มันจะทำให้พรรคพลังประชารัฐและกระทรวงยุติธรรมเสียหาย

“ผมขอท้าเลย ผมมีหลักฐาน ขอให้พรรคเรียกผมไปสอบเรื่องนี้ หากจริงพรรคต้องไล่นายสามารถออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ตำแหน่งนี้พรรคไม่ได้เสนอชื่อนายสามารถ แต่มี ส.ว.คนหนึ่งฝากมา กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ทำประโยชน์ให้พรรค แต่มาสร้างความมัวหมองให้พรรคอีกต่างหาก ที่สำคัญคือ นายสามารถอย่าอ้างสถาบันมาเกี่ยวข้อง เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ปกป้องสถาบัน” นายสิระกล่าว

และยังกล่าวอีกว่า การสอบสวนของพรรคก็เป็นขั้นตอนดำเนินการของพรรค แต่ในฐานะที่เป็นประธานกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมายฯ สภา ก็ยังต้องเรียกนายสามารถ คนที่สอบแทน และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงมาชี้แจงเหมือนเดิม

โดยขอฝากไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายตำรวจดังกล่าวที่ไปสอบแทนนายสามารถด้วยว่า มีคนใช้ให้ไปหรือไปสอบเอง และยังจะมีวุฒิภาวะเหมาะสมที่จะเป็นตำรวจต่อไปหรือไม่

เพราะถือเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่กระทำการทุจริตเสียเอง

 

เหตุดังกล่าว ทำให้หลายคนพุ่งเป้าไปที่ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้นสังกัดของ ‘สามารถ’ ว่าเป็นการดิสเครดิต 4 ว.หรือไม่

เป็นการเปิดศึกภายในพรรคพลังประชารัฐหรือเปล่า

แต่หากดูจากคำพูดของ ‘สิระ’ จะเห็นว่า ‘สามารถ’ ไม่ใช่คนในของพรรค แต่เป็นคนที่ได้รับการฝากฝังมาจากบุคคลในสภาสูง

และหากเจาะให้ลึกลงไปก็จะรู้ว่า ‘สิระ’ อยู่ในกลุ่มของสามมิตรมาตั้งแต่แรก ไม่น่าจะเป็นการพุ่งเป้าที่ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ แต่เป็นการงัดกับ ‘สามารถ’ โดยตรง เพราะเหตุผลการงัดข้อกันในที่ประชุมพรรค

แต่ก็เป็นเหตุให้ถูกมองได้ว่าเป็นความขัดแย้งภายในของพรรคพลังประชารัฐอีกระลอก

เพราะรอยร้าวเก่าก็ยังไม่ซา…

 

เมื่อแก๊ง 4 ช. ที่ประกอบไปด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลูกชายนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ มีความเคลื่อนไหว กดดันให้มีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค โดยมีความพยายามที่จะให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี และจะเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนรองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรคใหม่

ซึ่งกำหนดการเดิมจะมีการประชุมในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา สุดท้ายก็ถูกเลื่อนออกไป

ในขณะที่กลุ่ม 4 ว. นำโดยนายสุริยะ จึงรุงเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุสาหกรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังไม่ต้องการให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงเลขาธิการพรรคในช่วงนี้ ด้วยความเหมาะสมของตัวบุคคลที่จะมาแทนที่ และด้วยสถานการณ์โควิดที่กำลังหนักหน่วง

แม้กลุ่ม 4 ว.จะรู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม 4 ช.เป็นอย่างดีที่ต้องการผลักดันให้ ‘ผู้กองมนัส’ มาทำหน้าที่เลขาธิการพรรค แทน ‘เสี่ยแฮงค์’ โดยอ้างว่า สัญญาใจครั้งก่อน ‘เสี่ยแฮงค์’ จะทำหน้าที่เลขาฯ เพียง 6 เดือน

โดยทาง 4 ว.ยืนยันว่าไม่เคยมีสัญญาดังกล่าว

 

แถมกลุ่ม 4 ว.ยังเตือน 4 ช.อีกว่า จะทำอะไรให้ระวัง เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิฉัยคดีที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของ ส.ส. 51 คน ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของ ร.อ.ธรรมนัสสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(10) และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัสสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 17 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(6) และมาตรา 98(10) หรือไม่ จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอันถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้าซึ่งยาเสพติด ในวันพุธที่ 5 พฤษภาคม เวลา 15.00 น.

ดังนั้น รอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยเสียก่อนที่จะมีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จะได้ไม่มีใครแต่งตัวรอเก้อหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเป็นลบ เพราะนอกจากจะต้องพ้นเก้าอี้ ส.ส.แล้ว จะต้องพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีด้วย ซึ่งจะทำให้สิ่งที่พยายามทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า

แต่หากศาลตัดสินให้คุณ ก็จะสง่างามกับการเข้ารับตำแหน่งมากกว่า

เพราะแม้กลุ่ม 4 ช.จะแย่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคไปได้ แต่เก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นั้น ยังเป็นของ ‘เสี่ยแฮงค์’ ตามสัญญาใจที่ผู้ใหญ่ให้มา

 

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการเลื่อนกำหนดการประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ ว่า ยังไม่รู้ว่าจะประชุมเมื่อไหร่ โควิด-19 เลิกเมื่อไหร่ก็ประชุมเมื่อนั้น ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรที่ต้องประชุมพรรค

เป็นครั้งแรกที่ ‘หัวหน้าป้อม’ ออกมาเบรกด้วยตัวเอง

ทั้งที่ก่อนหน้านี้พลายกระซิบบอกให้เดินหน้าประชุมทันที