“โควิด-19” ประเทศไทย รอบที่ 3 หนังคนละม้วน/ ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน
(FILES) This file photo taken on May 15, 2020 shows a medical worker taking a swab sample from a staff member from the AOC computer monitor factory to be tested for the COVID-19 coronavirus in Wuhan in China's central Hubei province. - Chinese authorities have completed a mass coronavirus testing campaign in Wuhan, finding only 300 positive results among nearly 10 million people in the city where the pandemic began, local officials said on June 2, 2020. (Photo by STR / AFP) / China OUT

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

“กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์” สรุปอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ในช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2564

สรุปตัวเลขออกมาว่าเกิดอุบัติเหตุสะสมรวม 2,365 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 277 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,357 ราย

จังหวัดที่มีอุบัติเหตุสูงสุดช่วง “7 วันอันตราย” ปี 2564 แชมป์คือจังหวัดนครศรีธรรมราช 106 ครั้ง แชมป์ผู้เสียชีวิต ได้แก่ ปทุมธานี 10 ราย และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช โดยสาเหตุยังมาจากปัญหาเดิมๆ คือ 1.ขับรถเร็ว 2.เมาแล้วขับ

ย้อนไปดูสถิติอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2561 บาดเจ็บ 28,993 คน เสียชีวิต 487 คน ปี 2562 บาดเจ็บ 30,212 ราย เสียชีวิต 517 คน และปี 2563 มีผู้บาดเจ็บ 9,764 ราย เสียชีวิต 150 คน

สาเหตุที่ปี 2563 กับ 2564 ยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตน้อยลงจาก “หลักหมื่น” เหลือ “หลักพัน” เฉลี่ยลดลง 1 ใน 3 เพราะสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ในช่วงที่ 1 และระลอกที่ 3 สงกรานต์เลยสุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ประชาชนอยู่ในที่ตั้ง ไม่กล้ากลับบ้านฉลองเทศกาลสงกรานต์ เพราะติดมาตรการคุมเข้มจากเงื่อนไขโควิด-19 ไม่มีการสาดน้ำ เล่นสงกรานต์ หรือเมาแล้วขับกันเหมือนปี 2561 และ 2562

ขณะที่สงกรานต์ ตัวเลขอุบัติเหตุลดลงมหาศาล แต่ในทางกลับกันผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยกลับพุ่งกระฉูดทำนิวไฮแบบรายวัน ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพดานเพิ่มมากขึ้นถึง 45,185 ราย รักษาหาย 28,958 ราย ผู้ป่วยยังรักษาอยู่ 16,119 ราย ผู้เสียชีวิต 108 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อไหลร้อนแรงกว่ารอบที่ 1 และ 2 กล่าวคือ วันที่ 13 เมษายน 965 ราย 14 เมษายน 1,335 ราย 15 เมษายน 1,543 ราย 16 เมษายน 1,582 ราย 17 เมษายน 1,547 ราย 18 เมษายน 1,767 ราย

จังหวัดที่ผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุด เรียงตามลำดับประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ นนทบุรี สมุทรสาคร นราธิวาส ปทุมธานี สงขลา นครปฐม นครราชสีมา ระยอง ภูเก็ต

นอกจากนั้นแล้ว มีแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในรอบที่ 3 สถานการณ์อาจจะเลวร้ายที่สุดใน 1 เดือนข้างหน้าที่อาจจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละ 20,000 ราย

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ระดมมาตรการใดๆ มาคุมเข้มเต็มอัตราศึก ยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือ “พื้นที่สีแดง” 18 จังหวัด พื้นที่ควบคุม “สีส้ม” 59 จังหวัด

สับคัตเอาต์ทุกรูปแบบ ทั้งปิดสถานการศึกษา ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มบุคคลเกิน 50 คน การจำหน่ายเครื่องดื่มให้บริโภคภายในร้านหรือซื้อกลับบ้าน งดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสุราภายในร้านอาหาร

ร้านสะดวกซื้อให้เปิดตามปกติของสถานที่นั้นๆ จนถึงเวลา 23.00 น. และเริ่มดำเนินการใหม่ได้ในเวลา 04.00 น. กำหนดกรอบเวลา แต่เลี่ยงบาลีว่าไม่ได้เคอร์ฟิวหรือล็อกดาวน์

 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเคยได้รับคำชื่นชมมาตลอดว่า ในระลอกที่ 1 และ 2 บริหารจัดการ ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้ยอดเยี่ยมมาก ติดเบอร์ต้นๆ ของโลก

แต่การวกกลับมาโจมตีประเทศไทยของ “โควิด-19” รอบที่ 3 หนังคนละม้วน เพราะห้องเครื่องเกิดจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงชื่อดังย่าน “ทองหล่อ”

จุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มลูกค้าไฮโซมาใช้บริการที่คริสตัลคลับ และเอมเมอรัลด์ และพนักงานบริการของทางร้านติดเชื้อจำนวนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว และที่ฮือฮามากที่สุดหลังจากนั้น สถานบันเทิงชื่อดังทั้ง 2 แห่งย่านกลางเมืองหลวง ถูกตีแผ่ แฉไส้ว่า มีผู้ติดเชื้อระดับนักการเมืองชื่อดัง รัฐมนตรี ทูต ส.ส. นักธุรกิจใหญ่ ตำรวจ ข้าราชการระดับสูง และต่อจิ๊กซอว์ลามไปทั่วทั้งประเทศ จนเป็นเหตุให้ต้องออกมาตรการคุมเข้มทุกหัวเมือง

การแพร่ระบาดรอบที่ 3 เกิดขึ้นจากสถานบันเทิงชื่อดังระดับหรูหราที่มีแต่คนรวย หรือชนชั้นนำสามารถเข้าไปใช้บริการได้เท่านั้น และชนวนให้เกิดการติดเชื้อแพร่กระจายไปกว่า 20 จังหวัด มีบุคคลดังๆ ดารา นักแสดง ติดกันระนาว ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงคนทำงานทุกระดับ และที่หนักสุดคือ คนจนรากหญ้าต้องมารับกรรมอย่างสาหัส จากความบกพร่อง ประมาทของผู้ลากมากดี

ทำให้อัตราการขยายตัว ค่าอาร์ ตามทฤษฎีคนติดเชื้อหนึ่งคนจะสามารถแพร่ต่อไปได้อีก 2.27 คน ครองแชมป์ยอดแย่

ขณะที่ประเทศไทยยังหมกมุ่นวุ่นวาย แก้ปัญหาไม่ตก แต่หลายประเทศทั่วโลกพากันตั้งหลักได้ เพราะสามารถดำเนินโครงการกระจายวัคซีนได้อย่างรวดเร็วฉับไว มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอล สหราชอาณาจักร หรือสหรัฐอเมริกา สะท้อนความเชื่อมั่น สามารถเอาชนะภัยมืดได้อย่างชัดเจน จนบางประเทศประกาศยกเลิกมาตรการสวมหน้ากากป้องกันในที่สาธารณะ กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ ไม่สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน

สหรัฐอเมริกา ประชากรกว่าร้อยละ 80 ได้รับวัคซีน ดูได้จากการแข่งขันกอล์ฟรายการเดอะมาสเตอร์ ศึกเมเจอร์รายการแรกของปี มีข่าวว่าผู้จัดกลับมาขายตั๋วแข่งขันจำนวน 12,000 ใบต่อวัน มีผู้คนเข้าชม และเชียร์กอล์ฟกันอย่างสนุกสนาน

ขณะที่ประเทศไทยมีแต่ภาพหลอนแห่งความกลัวติดโควิด-19 แล้วหาเตียง โรงพยาบาลรักษาไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดคือ “สังคมรังเกียจ” ถูกเหยียด ประณามว่า ไม่รับผิดชอบต่อสังคม เป็นการโยนปัญหาให้ชาวบ้าน

เวลานี้ธุรกิจต่างๆ เจ็บตัวกันระนาว ร้านอาหาร ภัตตาคาร อีเวนต์สารพัด ยกเลิกเลื่อนโปรแกรม ขาดทุนกันย่อยยับ

คงทนเห็นความล้มเหลวต่อไปไม่ไหว ต้องปรบมือให้กับกลุ่มนักธุรกิจ ภายใต้การขับเคลื่อนของ “หอการค้าไทย” ที่ประสานสิบทิศกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 40 บริษัทจากทุกภาคส่วน ร่วมแรงร่วมใจกันวางแผน แนวทางจัดหาวัคซีนทางเลือกเพียงพอ

โดยหนึ่งในแนวนโยบายหลักภารกิจ 99 วันแรก โดยดึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าบรรลุเป้าหมายด้วยการฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ ให้ได้ร้อยละ 70 ภายในปี 2564 โดยประชาชนต้องได้อย่างน้อย 50,000 คนต่อวัน โดยภาคเอกชนเหล่านี้จะเข้ามาเสริมภาครัฐ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล ไม่เช่นนั้นแล้ว จะหลังเขาที่สุดในภูมิภาค