ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
การระบาดของโควิดระลอกใหม่ทำให้ความเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกต่ำลงจนน่าตกใจ
เพราะขณะที่การระบาดของโควิดระลอกก่อนๆ ยังพอมีคนที่อวยว่าคุณประยุทธ์ทำงานเก่ง หรืออย่างน้อยก็ห่วยแต่ขยัน อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิดระลอกนี้แทบไม่มีใครชื่นชมคุณประยุทธ์เลย
พูดตรงๆ นอกจากคนของพรรคพลังประชารัฐ 3-4 คน ที่อวยคุณประยุทธ์ทุกเรื่องจนกลายเป็นตัวตลก
คนในรัฐบาลด้วยกันก็ไม่เหลือใครกล้าอวยคุณประยุทธ์อีกแล้ว
กองเชียร์คุณประยุทธ์จึงเหลือแค่เลขาฯ รัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีที่งานประจำคือโพสต์เฟซบุ๊กและทำคลิปประจบนายกรัฐมนตรี
นักธุรกิจที่เป็นรัฐมนตรีอ้างว่าคุณประยุทธ์ทุ่มเทแก้ปัญหาโควิดจนคนไทยไม่ควรวิจารณ์รัฐบาล
ยิ่งกว่านั้นคือรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศสั่งปิดหรือยัดคดีคนที่รัฐถือว่า “บิดเบือน” เรื่องโควิดด้วย คนไทยจึงมีชีวิตในรัฐที่ปกป้องเราจากโควิดไม่ได้ ซ้ำการวิจารณ์รัฐยังอาจจบด้วยการถูกรัฐยัดคดี
โลกของรัฐบาลคือโลกที่โควิดเป็นเรื่องการเมือง ใครก็ที่วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวด้านนโยบายโควิดจึงมีโอกาสถูกยัดคดีเหมือนที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดนยัด 112 ไม่อย่างนั้นก็คือถูกเลขาฯ และผู้ช่วยรัฐมนตรีใช้เวลาราชการโพสต์เฟซด่าประเด็นซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่สำนึกว่ากินเงินเดือนจากภาษีประชาชน
ยิ่งมองให้กว้างขึ้นไป ความไม่พอใจที่รัฐบาลมีต่อคนที่ตรวจสอบรัฐบาลยิ่งมากจนเหมือนรัฐเห็นคนในประเทศเป็นศัตรูไปหมด
คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งตั้งคำถามเรื่องคลับแพร่โควิดยังถูกคนของรัฐบาลที่ได้ชื่อว่ากินข้าวสองรางด่าแบบเสียๆ หายๆ ทั้งที่รัฐบาลผิดเรื่องนี้อย่างไม่มีอะไรให้แก้ตัวได้เลย
การระบาดของโควิดระลอกสามคือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์ล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด เพราะไม่เพียงแต่เชื้อร้ายจะลุกลามจากคลับซึ่งทุกคนรู้ว่ามีการค้ากามแอบแฝง
การระบาดของเชื้อยังเกิดในพื้นที่ซึ่งควบคุมโดยหลานเขย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เช่นเดียวกับใต้หน่วยงานที่คุณประยุทธ์เป็นประธาน
โควิดระลอกสามทำประเทศหายนะที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา เพราะเป็นการระบาดที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงสุด
ไม่มีจังหวัดไหนของประเทศรอดจากเชื้อร้ายนี้ไปได้
อัตราการขยายตัวของผู้ติดเชื้อที่แพร่กระจายรวดเร็วมาก ไม่ต้องพูดถึงคลัสเตอร์ใหม่ๆ ที่ยิ่งนานยิ่งโผล่จนไม่มีใครรู้ว่าจะไปจบที่ใด
ในประเทศที่ระบบการเมืองปกติจนผู้มีอำนาจมีความรับผิดชอบทางการเมือง ความเสียหายที่พัวพันถึงคนของรัฐบาลย่อมทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมต้องรับผิดชอบ
แต่ในประเทศที่ระบบบิดเบี้ยวจนผู้มีอำนาจหน้าหนากว่าพื้นถนน แค่คำขอโทษสักคำจากปากนายกรัฐมนตรีก็ไม่มี
ธนาธรเคยเปิดประเด็นว่านโยบายวัคซีนที่ “แทงม้าตัวเดียว” คือนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาล แต่ไม่เพียงรัฐบาลจะปิดปากธนาธรและประชาชนที่คิดแบบนี้โดยยัดคดี 112 การดำเนินนโยบาย “แทงม้าตัวเดียว” ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องจนทำให้ประเทศหายนะจากโควิดระลอกสามอย่างปัจจุบัน
แม้ธนาธรคือคนที่เครือข่าย พล.อ.ประยุทธ์มองเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของรัฐบาล แต่รัฐบาลควรมีสติพอจะรู้ว่าคำทักท้วงธนาธรคือข้อเท็จจริงที่สอดคล้องความรู้สึกประชาชน
เพราะแค่ใช้สามัญสำนึกง่ายๆ ก็รู้ว่าทำไมคนไทยต้องหันหลังให้บริษัทวัคซีนทั้งโลกเพียงเพื่อซื้อวัคซีนจากบริษัทเดียว
ตรงข้ามกับคนทั้งโลกที่ตระหนักว่าวัคซีนคือเครื่องมือหลักในการนำประเทศออกจากวิกฤตสุขภาพและวิกฤตเศรษฐกิจ
คนไทยกลับเผชิญสถานการณ์ที่รัฐบาลมองวัคซีนเชื่อมโยงกับการสร้างคะแนนนิยมให้เครือข่ายรัฐบาล
ผลก็คือประเทศไทยวันนี้อยู่แถวหลังของโลกด้านการฉีดวัคซีนโดยปริยาย
ภายใต้ยุทธศาสตร์สู้ศึกโควิดด้วยวัคซีนยี่ห้อหลักยี่ห้อเดียว รัฐบาลกำหนดแผนโควิดบนสมมุติฐานว่าบริษัทไทยในเดือนมิถุนายนจะประสบผลสำเร็จในการผลิตวัคซีนมาขายต่อ
แต่คำถามที่คนปกติคิดได้คือทำอย่างไรหากแผนนี้พลาด
หรือยิ่งกว่านั้นคือทำอย่างไรหากวัคซีนนี้ไม่มีผลอย่างที่เชื่อกัน
ต่อให้แผนการผลิตโควิดไม่มีอะไรพลาดเลย การระบาดของโควิดสายพันธุ์อังกฤษตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมก็สะท้อนว่าแผนผลิตวัคซีนเดือนมิถุนายนช้ากว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ
เพราะเท่ากับรัฐบาลทำให้คนไทยเผชิญโควิดระลอกสามโดยไม่มีวัคซีนมากพอจากเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน
คุณประยุทธ์ชอบโจมตีรัฐบาลอื่นว่าไม่มียุทธศาสตร์จนประเทศล่มจม
ความหลงตัวเองทำให้คุณประยุทธ์สร้างรัฐธรรมนูญลงโทษรัฐบาลที่ไม่ทำตามยุทธศาสตร์ที่คุณประยุทธ์คิด
แต่การระบาดของโควิดระลอกสามคือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์ไม่มีความคิดเรื่องยุทธศาสตร์อย่างที่มักสดุดีตัวเอง
ในคำแถลงที่ทำเนียบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คุณประยุทธ์สารภาพว่ารัฐบาลไม่หาวัคซีนเพิ่มเพราะมั่นใจว่าควบคุมโควิดระบาดระลอกแรกได้ดี
ขณะคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ยอมรับว่าไทยหาวัคซีนเพิ่มในเดือนพฤษภาคมไม่ได้อีก รัฐบาลจึงทำให้คนไทยเผชิญโควิดระลอกสามโดยไม่มีอะไรในมือเพิ่มเติมเลย
ด้วยนโยบายไม่หาวัคซีนเพิ่มของรัฐบาล ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ที่หลายโรงพยาบาลยอมรับว่าไม่สามารถรับผู้ติดเชื้อได้อีก โรงพยาบาลสนามที่เชียงใหม่มีผู้ติดเชื้อสะสมใกล้สามพัน เท่ากับต้องใช้เตียงโรงพยาบาลจริงๆ 20% หรือ 600 เตียง และ ICU 5% หรือ 150 เตียง ซึ่งเข้าขั้นอันตราย
กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่ามีเตียงพอสำหรับผู้ติดเชื้อในปัจจุบัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเสี่ยงที่เตียงจะไม่พอ หากผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นกว่านี้
นโยบายไม่จัดหาวัคซีนที่มากพอจึงทำให้ไทยมีโอกาสเจอปัญหาผู้ป่วยล้นระบบอย่างไม่ควรเป็น ต่อให้กระทรวงจะหาทางแก้ปัญหาไว้ก็ตาม
ไม่เพียงแต่รัฐบาลจะหาวัคซีนให้คนไทยได้ไม่พอ การฉีดวัคซีนก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า ประเทศไทยวันนี้มีประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสไม่ถึงแสน หรือเท่ากับฉีดวัคซีนได้วันละ 1 หมื่นโดส ซึ่งหากเอาอิสราเอลที่ฉีดวัคซีนให้ประชากร 9.2 ล้านไปแล้ว 96% เท่ากับเราต้องฉีดวัคซีนถึง 14-16 ปี
น่าสังเกตว่าอิสราเอลเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อถึง 836,000 และตายอย่างต่ำ 6,331 คน การฉีดวัคซีนที่เริ่มต้นช่วงธันวาคมกลับทำให้อิสราเอลเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในเดือนพฤษภาคมแล้ว
ส่วนไทยที่ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตต่ำกว่าอิสราเอลหลายสิบเท่ากลับยังต้องงมโข่งไล่ไทม์ไลน์คน
อาจมีผู้แย้งว่าอิสราเอลฉีดวัคซีนเพื่อคืนชีวิตปกติให้ประชาชนได้เพราะมีความพร้อมทางการแพทย์สูงกว่าไทย แต่อินโดนีเซียและตุรกีซึ่งเป็นประเทศใกล้เคียงไทยก็ฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ถึงวันละ 2 แสนโดส หรือมากกว่าไทยประมาณ 20 เท่าตัว
รัฐมนตรีท่องเที่ยวและรัฐมนตรีเศรษฐกิจพูดเสมอว่าฟื้นท่องเที่ยวคือวิธีฟื้นเศรษฐกิจไทยที่เร็วที่สุด แต่ด้วยความเร็วในการฉีดวัคซีนแบบนี้ เราไม่มีวันเข้าใกล้การเปิดประเทศ ยกเว้นเราจะสามารถฉีดวัคซีนให้ได้วันละ 1.7 แสนโดส ซึ่งจะทำให้สิ้นปีมีคนไทยที่ได้วัคซีนแล้วราว 70%
คุณประยุทธ์แสดงความเห็นบ่อยครั้งว่านโยบายเปิดประเทศทำให้ไทยเผชิญปัญหาโควิดมากขึ้น แต่ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับการเปิดประเทศ คุณประยุทธ์น่าจะมีปัญญาพอจะเห็นว่าการเร่งฉีดวัคซีนสำคัญต่อการฟื้นเศรษฐกิจและคืนชีวิตที่ปกติให้คนไทย
แต่ก็ไม่เห็นคุณประยุทธ์ทำอะไรแม้แต่นิดเดียว
ภายใต้ความฝันของคุณประยุทธ์ที่จะใช้โควิดสร้างความนิยมในการเป็นนายกฯ ตลอดกาล วิสัยทัศน์ที่ต่ำกว่าความทะเยอะทะยานทำให้ประเทศไทยภายใต้อุ้งเท้าคุณประยุทธ์เผชิญภัยโควิดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนยังต้องสาละวันกับไทม์ไลน์และโรงพยาบาลสนามในเวลาที่โลกเริ่มพูดเรื่องเปิดประเทศกัน
ด้วยความล้มเหลวในการแก้โควิดทั้งการจัดหาวัคซีนและฉีดวัคซีน เส้นทางสืบทอดอำนาจของคุณประยุทธ์ทวีความมืดมนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
จนปี 2564 จะเป็นปีที่คุณประยุทธ์เผชิญแรงต้านทางการเมืองเหมือนปี 2563 เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้ว่าตัวละครที่จะมีบทบาทปีนี้คือคนกลุ่มไหนเท่านั้นเอง
อำนาจที่ไม่ชอบธรรมทำให้ประเทศไทยใต้คุณประยุทธ์ไม่เคยพบความสงบสุข และยิ่งนานอำนาจที่ไม่ชอบธรรมและไม่มีความสามารถยิ่งประจานตัวเองถึงการถ่วงความเจริญประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง ทางรอดของประเทศจึงได้แก่การเปลี่ยนตัวผู้มีอำนาจ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะยิ่งหายนะกว่าปัจจุบัน
ทุกวินาทีที่ความเปลี่ยนแปลงล่าช้าคือทุกวินาทีประเทศถอยหลังลงคลองจนอาจถึงจุดที่ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้เลย
มีรัฐบาลแบบนี้สู้ไม่มีรัฐบาลเลยก็ได้ เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีผู้มีอำนาจถ่วงความเจริญอย่างรัฐบาลที่ไม่มีความสามารถอะไรเลย