สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กางแผนยุทธศาสตร์สยบโควิด ทำอย่างไร เปิดประเทศได้ไว / รายงานพิเศษ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สาธารณสุข และสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย บอกเล่ามุมมองของคนที่เคยทำงานด้านสาธารณสุข เคยต่อสู้กับโรคอุบัติใหม่ อย่างโรคไข้หวัดนก-โรคซาร์ส ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าในตอนนี้

ครั้งนั้นเรารับมือด้วยการค้นหาความรู้ว่าโรคมันเกิดอย่างไร จะยุติการแพร่แบบไหน ทำยังไงให้เร็วที่สุด คือสิ่งที่เป็นหลักสำคัญในการทำงาน

แต่ถ้าเราย้อนกลับมาดูการทำงานในปัจจุบัน จะเห็นข้อจุดอ่อน 2 อย่าง

1.การตรวจเชิงรุก กับการรักษา

หลักการในการที่จะควบคุมการแพร่เชื้อได้ เร็วที่สุดคือการตรวจเชิงรุกให้มากที่สุดแล้วมันคุ้มมาก ค่าตรวจก็ใช้งบประมาณไม่มากถ้าเราจะตรวจสัก 1 ล้านคนใช้เงินประมาณ 1,600 ล้านบาท เมื่อไปเทียบกับมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่หอการค้าออกมาประเมินแล้วว่าไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะเสียหายถึง 4.5 แสนล้านบาท

และเมื่อมีการระบาดแล้ว ยังไม่สามารถที่จะตั้งรับการรักษาได้ ทั้งที่ครั้งนี้ไม่ใช่การระบาดครั้งแรก เราใช้เวลามา 1 ปีกว่าอยู่กับโรคนี้ แต่พอมีการระบาดทำให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลไม่พร้อมในการส่งกำลังบำรุงให้กับแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เขาทำงานอย่างหนัก

จุดที่ 2 ที่เป็นกังวลและห่วงมากคือการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลมี 3 จุด คือ

1. จัดหาไม่เพียงพอจัดหาได้น้อยมาก 63 ล้านโดส หรือได้เพียงแค่ 31 ล้านคน ก็ยังไม่ถึงสัดส่วนที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ มันก็อาจจะเกิดเหตุการณ์นี้วนมาทุกปีไป เราก็ไม่ต้องทำมาหากินกันแล้วถ้าเป็นแบบนี้ คนตัวเล็กตัวน้อยล้มไม่ฟื้น

2. วัคซีนมีตัวเลือกน้อย แล้วก็มีปัญหาทั้งคู่ ชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ในการคุ้มกันน้อย อีกชนิดหนึ่งมีปัญหาเรื่องลิ่มเลือด คนไทยเหมือนถูกมัดมือชกหมดโอกาส

3. เวลาในการฉีด ผ่านมา 50 กว่าวัน ฉีดได้แค่ 5-6 แสน ถือว่ายังต้องเร่งอัตราการฉีดมากกว่านี้ ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรจะนั่งทบทวนการทำงาน

คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า ถ้าดิฉันเป็นรัฐบาล ก็จะประกาศให้ประชาชนได้ทราบว่า เราจะมีแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตนี้ได้อย่างไร ก็เสนอว่ารัฐบาลควรจะต้องทำเป็นแผนสยบ covid ให้ได้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2564 นี้ เพราะถ้าเกินจากนี้ไปสิ่งที่เป็นอันตรายมากกว่า covid เราจะเจอ “สึนามิทางเศรษฐกิจ” ที่จะพัดกวาดคนตัวเล็ก SMEs ล้มหายตายจากไปหมด ทำให้คนตกงานอีกเป็นล้านคน เป็นปัญหาที่เราจะต้องเจอแน่ ในเมื่อประเทศอื่นเขามีแผนการฉีดวัคซีน การเปิดประเทศที่ชัดเจน เขาก็จะเริ่มทำมาค้าขาย ทำมาหากินได้แล้ว

คำถามคือเราในวันนี้คนแทบจะมองไม่เห็นอนาคตว่าจะจบปัญหาโควิดอย่างไร เมื่อไหร่จะได้วัคซีน เมื่อไหร่จะกลับมาทำมาหากินได้ เมื่อไหร่จะเปิดประเทศ รัฐบาลไม่สามารถตอบชัดๆ ตรงนี้ได้เลย ก็อยากเสนอว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องประกาศแผนสยบ covid และตั้งเป้าให้จบภายในสิ้นปี

จากประสบการณ์และสิ่งที่ติดตามจากประเทศต่างๆ ประเทศเราต้องทำงานแข่งกับเวลา ในเมื่อทุกประเทศประกาศแล้วว่า เขาจะเปิดประเทศ เราจึงจำเป็นจะต้องมีแผนในการสยบโควิดให้ได้ทันภายใน 2564 นี้เช่นเดียวกัน เพื่อเปิดประเทศ คืนการทำมาหากินตามปกติสุขได้

โดยมีเป้าหมายที่ 1 คือต้องให้คนไทยมากกว่า 70% (ประมาณเกือบ 50 ล้านคน) รับวัคซีนทั้ง 2 โดส จากที่ประเทศเราสั่งมาเราจำเป็นจะต้องสั่งเพิ่มอีก 40 ล้านโดส ต้องเร่งสั่งเร่งเจรจากับทุกยี่ห้อที่มีอยู่ในโลกนี้ ต้องกระจายความเสี่ยงให้กับประชาชน แล้วก็ต่อรองเลยว่า อะไรมีเงื่อนไขที่ดีอย่างไร เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ทันปีนี้

เป้าหมายที่ 2 ฉีดให้ครบ 2 โดสภายในปี 2564 โดยนับจากเดือนมิถุนายนไปมีเวลา 7 เดือน 100 ล้านโดส ก็คือต้องเพิ่มจำนวนวัคซีนที่สั่งให้เร็วที่สุด กำหนดไทม์ไลน์ว่าทำให้เสร็จ

ซึ่งในความเป็นจริงทำได้แน่ เพราะระบบสาธารณสุขของเราเข้มแข็ง อย่างวันนี้ที่เราป้องกันโรคได้ต้องชื่นชมบุคลากรสาธารณสุขที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 

คําถามคือจากเป้าหมายที่วางจะทำอย่างไร ดำเนินการอย่างไรให้ตรงตามแผน ซึ่งคุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า อย่างแรกงบประมาณที่ต้องสั่งซื้อ สมมุติคิดตัวเลขแบบแพงที่สุด โดสละ 1,000 บาท ก็ใช้เงินแค่ประมาณ 40,000 ล้านบาท จากความเสียหายเศรษฐกิจ 4.5 แสนล้าน การลงทุนโดยการใช้เงินแค่ 10% ในแง่นักบริหาร ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ถ้าบอกว่าเราไม่มีตังค์ ดิฉันเสนอให้ตัดงบประมาณ ทั้งด้านการซื้ออาวุธ การสร้างอาคาร การอบรมสัมมนา การทำ PR ต่างๆ ของส่วนราชการทิ้งในปี 2564 ก็เพียงพอ

แต่ถ้ายังไม่พอ ก็จะมีสิ่งที่รัฐไม่เคยรับฟังที่เราเสนอมาตั้งแต่ต้นปีคือ “เงินสะสมของท้องถิ่น” ท้องถิ่นหลายแห่งก็มาพบกับดิฉัน เขาก็อยากใช้เงินเพื่อให้คนพื้นที่เขาได้รับผลประโยชน์จากเงินสะสมนี้มากที่สุด ดังนั้น อย่าหวงอำนาจการจัดซื้อ หาวิธีระดมเงินได้เร็วขึ้น

และอีกวิธีหนึ่งคือต้องให้โรงพยาบาลเอกชนหรือบริษัทเอกชนใหญ่ๆ เปิดโอกาสให้เขาเข้าร่วมได้

จากนั้นวางเป้า 1 เดือนต้องฉีดให้ได้ 15 ล้านโดส (หมายความว่า 1 วันต้องฉีดให้ได้ 5 แสนโดส) โดยมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ทำงานร่วมกับมหาดไทย และท้องถิ่น

สำหรับในต่างจังหวัดให้ใช้โรงพยาบาลศูนย์ (117 แห่ง) โรงพยาบาลชุมชน (720 แห่ง) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ( 20 แห่ง) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (9,863 แห่ง) และยังมีโรงพยาบาลอื่นๆ ของรัฐ เช่น โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ฉีดวัคซีน ให้ไปฉีดครบทุกตำบลคือ 7,255 ตำบล โดย 1 แห่งรับผิดชอบฉีดเพียง 70 ถึง 100 รายต่อวัน

ส่วนในกรุงเทพฯ มอบหมายให้ กทม.เป็นองค์กรหลัก ตั้งเป้าให้มีสถานที่ฉีดวัคซีน 200 แห่ง (เขตละ 4 แห่ง x 50 เขต) รับผิดชอบฉีดประมาณ 200 รายต่อวันต่อแห่ง ถ้าเรากระจายไปทุกตำบลไม่ต้องให้คนเดินทางไปเสี่ยงติดเชื้อ

สำหรับวิธีการดำเนินการต้องกำชับว่า ต้องส่งมอบให้ได้เดือนละ 15 ล้านโดสตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป

 

ส่วนการตรวจเชิงรุกและการรักษา หลายคนประสบปัญหาว่าเริ่มไม่มีใครรับรักษา ข้อเสนอของเราก็คือรัฐต้องไปเช่าโรงแรม 2 ดาว 3 ดาวที่เหลือเยอะแยะในหลายจังหวัด แล้วก็แบ่งเจ้าหน้าที่ไปดูแลคนป่วยอาการน้อย คนป่วยหนักรักษาที่โรงพยาบาล ให้เราเชื่อใจคุณหมอและผู้บริหารของโรงพยาบาลว่าเขามีศักยภาพที่จะทำได้

อีกส่วนหนึ่งคือต้องบอกว่า เตียงไม่พอเรายังหาได้ แต่หมอเราหาไม่ได้ คิดว่าจะต้องเพิ่มเบี้ยเลี้ยง เบี้ยเสี่ยงภัยให้บุคลากรทางการแพทย์ให้ได้มากที่สุด เพื่อรับมือกับการระบาดรอบนี้ ต้องดูแลหัวใจของเขา ให้กำลังใจเขา นี่คือสิ่งสำคัญ

สุดท้ายการหยุดการระบาด เนื่องจากเป็นเชื้อใหม่ที่เข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน (เรียกว่า B117)

ที่แพร่ได้ง่ายมาก กระจายได้เร็วถึง 1.76 เท่า คนไข้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้

อยากจะฝากทิ้งท้ายให้รัฐบาล โดยย้ำอีกครั้งว่าต้องตรวจเชิงรุกให้เร็วที่สุด ให้มากที่สุด โดยการเปิดให้ตรวจฟรีแบบไม่มีเงื่อนไขมาก ไม่ต้องมาถูกซักประวัติ ถ้าไม่ได้ไปที่เสี่ยงก็ไม่ได้ตรวจ ดิฉันว่ามันหมดเวลาที่จะคิดแบบนี้แล้ว

สำหรับเชื้อตัวใหม่ต่อให้ไม่ต้องไปพื้นที่เสี่ยง ก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้เพราะมันกระจายไปทั่วหมดแล้ว

ดังนั้น ต้องเปิดให้ตรวจโควิดได้ฟรีและง่าย ไล่ตรวจให้ได้มากที่สุด

รัฐบาลอย่าไปกลัวตัวเลขจากการตรวจเชิงรุกสูงขึ้นนั่นแปลว่าประชาชนอยู่ข้างนอกจะปลอดภัย

จึงขอคาดการณ์เลยว่า ถ้าตรวจกันจริงๆ ตัวเลขจะสูงกว่าที่ปรากฏอยู่เป็นเท่าตัว และหลังจากนี้ไปจะเริ่มสูงขึ้นอีกเพราะเชื้อฟักตัวหลังสงกรานต์จะเริ่มออกอาการ

นี่คือสิ่งที่ดิฉันและรัฐบาลคิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราต้องตรวจเชิงรุก หว่านตรวจทุกหมู่บ้านทุกตำบลให้มากที่สุด

แต่รัฐบาลนี้เอาง่ายเข้าว่า จะใช้วิธีการงดจัดกิจกรรม ไม่ให้ออกจากบ้าน ไม่ให้เดินทาง ไม่ให้ค้าขาย ทำให้โลกสงบลงได้แต่ไม่หายไป มันก็มีโอกาสกลับมาระบาดอีกหลายรอบ

นี่คือสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เสนอ เสนอด้วยความปรารถนาดีต่อรัฐบาล อยากให้เปิดใจรับฟัง อย่าคิดว่ามาโจมตี สำคัญที่สุดในตอนนี้รัฐบาลต้องวางแผนที่จะสยบให้ทันภายในสิ้นปีนี้

โดยมี “คีย์สำคัญ” คือวัคซีน วัคซีน และวัคซีนเท่านั้น

ชมคลิป

https://www.youtube.com/channel/UCAbOmOpSRngMGoLbMjePQJg