ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
จีน-มะกัน : เจอกันรอบแรก
ประดาบก็เลือดเดือด!
ยกแรกมะกันกับจีนก็ซัดกันนัวแล้ว!
จีนกับมะกันเปิดฉากเจรจาด้วยสงครามน้ำลาย!
บางคนเรียกเกมนี้ว่าเป็นการ “ถอดถุงมือซัดกันด้วยกำปั้นล้วนๆ”
นักวิชาการบางท่านอย่าง ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร บอกว่านี่คือ “การทูตปิงปองลูกตบ”
เพราะแต่เดิมนั้นคำว่า “การทูตปิงปอง” มีที่มาที่ไปตอนที่สหรัฐกับจีนยุคอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เริ่มต้นเชื่อมต่อกับปักกิ่งยุคประธานเหมาเจ๋อตุง ด้วยการส่งทีมปิงปองไปประลองกันเล่นๆ
นั่นคือการใช้กีฬาเบิกทางให้การทูต
คำว่าการทูตปิงปองเกิดขึ้นในสมัยนั้นเพราะยังไม่อาจจะติดต่อกันโดยตรงได้
แต่มาว่าคำ “การทูตปิงปอง” ก็น่าจะหมายถึงการเจรจาของสองประเทศที่ต้องการจะเลี้ยงลูกเพื่อประคับประคองในลักษณะของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
แต่เมื่อต้องปะฉะดะกันแล้ว สองยักษ์ใหญ่ก็เลิกใช้วิธีการแบบถ้อยทีถ้อยเดินเกมกันคนละก้าวเหมือนเดินหมากรุก
ครั้งล่าสุดนี้เกมปิงปองกลายเป็นการตั้งใจแสดง “ลูกตบแบบเพชฌฆาต”
ไม่ให้ฝ่ายตรงกันข้ามรับลูกได้
หรือให้อีกข้างหนึ่งเสียฟอร์มไปเลยทีเดียว
ครั้งนี้กลายเป็นว่าทั้งอเมริกาและจีนก็เล่น “ลูกตบ” เหมือนๆ กัน
ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายรับลูกแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป
ระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคมที่ผ่านมา ฝ่ายสหรัฐเปิดการประชุมระดับสูงที่อลาสก้าด้วยการส่งหมัดตรงใส่จีน
เปิดฉากด้วยการจี้ปักกิ่งประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง, ฮ่องกง, ไต้หวัน
มีหรือจีนจะยอมตั้งรับเฉยๆ…
ฝ่ายจีนสวนด้วยหมัดตรง
ซัดอเมริกาว่าชอบแทรกแซงเรื่องคนอื่นทั้งๆ ที่มาตรฐานเรื่องสิทธิมนุษนในบ้านตัวเอง เช่น เรื่องสีผิวและความเหลื่อมล้ำในสังคมหลายมิติก็ยังย่ำแย่
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง, อะไรทำนองนั้น
ทั้งสองฝ่ายเตรียมมาฟาดฟันกันอยู่แล้วเพราะฝั่งสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตั้งท่าตั้งแต่ต้นว่าจะต้องไล่ต้อนจีนที่แวดวงข่าวกรองวอชิงตันตราหน้าว่าเป็น “ภัยคุกตามหมายเลขหนึ่ง” ของสหรัฐ
จีนก็ตั้งการ์ดสูงเต็มที่เพราะรู้ว่าฝั่งโน้นเตรียมเล่นเกมรุกเต็มพิกัด
ทั้งสองฝ่ายจะแสดงอาการอ่อนแอไม่ได้เพราะเป็นมวยคู่เอกในเรื่องต่างประเทศทั้งสิ้น
ฝ่ายมะกันคือรัฐมนตรีต่างประเทศ Antony Blinken และที่ปรึกษาความมั่นคง Jake Sullivan
เพิ่งมีโอกาสแสดงฝีปากในเวทีระหว่างประเทศครั้งแรก ขึ้นเวทีใหญ่ครั้งแรกก็เจอคู่ชกระดับยักษ์จากปักกิ่งทีเดียว
เพราะเขาคือ หยางเจี๋ยฉือ (???) หนึ่งในสมาชิกกรมการเมืองที่รับผิดชอบนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะ กับหวังอี้ (??) รัฐมนตรีต่างประเทศผู้ช่ำชองเวทีสากลมายาวนาน
เดิมตกลงกันว่าแต่ละฝ่ายจะให้สื่อมวลชนมาถ่ายรูปและรับฟังถ้อยเปิดการประชุมตามมารยาททางการทูตของแต่ละฝ่าย ฝ่ายละ 2 นาที
ที่ไหนได้ พอฝ่ายมะกันโยนระเบิดตูมด้วยข้อกล่าวหาอย่างหนักหน่วงยาวเหยียดต่อหน้านักข่าวและช่างภาพอย่างนั้น ฝ่ายหยางเจี๋ยฉือก็โต้กลับด้วยคำฟาดฟันยาว 15 นาที
สื่อมวลชนจึงได้เป็นพยานการแลกหมัดด้วยวาทะร้อนแรงของสองยักษ์โลกอย่างเต็มๆ
หลังจากสื่อถูกเชิญไปนอกห้องประชุม (ต่างคนต่างวิ่งส่งข่าว breaking ที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนอย่างร้อนรน) ทั้งสองฝ่ายก็นั่งลงเดินหน้าแลกเปลี่ยนตามวาระที่ตั้งเอาไว้
เชื่อได้ว่าบรรยากาศคงจะตึงเครียดกันตลอดหลายชั่วโมง
เสร็จจากการประชุมในห้องปิดแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ออกมาต่อว่าต่อขานกันให้นักข่าวฟังอีกรอบ
มะกันชี้นิ้วไปที่จีน บอกว่าฝ่ายจีนสร้างภาพเพื่อให้ตนดูดี เป็นการพูดอย่างทำอย่าง หรือที่ภาษามะกันเรียกว่า Grandstanding
จีนโต้ว่าฝ่ายมะกันตั้งใจมาทำสงคราม ไม่ได้จะมาพูดจาทำความเข้าใจ
“เราได้กลิ่นดินระเบิดตั้งแต่เดินเข้าห้องประชุมแล้ว…” หัวหน้าทีมจีนระบุ
ด้านมะกันบอกว่า “เราต้องการจะบอกให้ฝ่ายจีนได้รับรู้ถึงความกังวลของเราเกี่ยวกับเรื่องที่จีนได้ทำหลายประการ ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายระเบียบโลกและเป็นความกังวลที่พันธมิตรของเราก็มีเกี่ยวกับจีนเช่นกัน”
ฝ่ายจีนย้อนว่า “จีนไม่มีความตั้งใจที่จะยอมถอยในประเด็นต่างๆ ที่ฝ่ายอเมริกันตั้งประเด็นกับเรา เราจะต้องปกป้องอธิปไตย, ความมั่นคงและผลประโยชน์ของเรา…เราหวังว่าสหรัฐจะไม่ประเมินความมุ่งมั่นของจีนในเรื่องเหล่านี้ต่ำเกินไป”
เปิดเกมมาอย่างนี้ ก็พอจะคาดได้ว่าการแลกหมัดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งจะดุเดือดเพียงใด
จับตาดูลีลาท่าทางของสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเห็นอาการ “กร้าว” หนักหน่วงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนและสหรัฐที่อลาสก้า
หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศและกลาโหมสหรัฐโฉบมาที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เราก็เห็นการกระชับสัมพันธ์ของอเมริกากับพันธมิตรเก่าอย่าง NATO อย่างแข็งขัน
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ประกาศในที่ประชุมรัฐมนตรีขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต (NATO) ว่าวอชิงตันจะยืนหยัดฟื้นฟูความสัมพันธ์กัประเทศพันธมิตรเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลกอย่างเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากโควิด-19
และที่ฟังดูเหมือนเป็นทิศทางหลักของอเมริกาวันนี้ นั่นคือสิ่งที่อเมริกาเรียกว่า
“ท่าทีอันแข็งกร้าวมากขึ้นของจีน”
ที่สหรัฐและเพื่อนต้องช่วยกันสกัดและกำจัด
ในที่ประชุม ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมวันนั้น บลิงเคนอ้างถึงผลสำรวจขององค์กร Chicago Alliance on Global Affairs ที่สรุปว่า
นี่ถือว่าเป็นการไปเยือนยุโรปครั้งแรกในฐานะรัฐมนตรีของบลิงเคน
เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดแจ้งถึงความเปลี่ยนแปลงท่าทีและทิศทางของวอชิงตันตอนนี้กับยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ยุคของทรัมป์คือแนวทาง America First และ Make America Great Again!
คือการเน้นผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นหลัก
นี่เป็นยุคของโจ ไบเดน ที่เน้นแนวทาง Build Back Better และย้ำว่าอเมริกาจะไม่ลุยเดี่ยว แต่จะสร้างพันธมิตรเพื่อเดินหน้าไปด้วยกัน
บลิงเคนบอกว่าภัยคุกคามโลกหลักๆ มีหลายมิติ เช่น
ภัยคุกคามทางการทหาร เทคโนโลยี โควิด-19 โลกร้อน
อีกทั้งยังมีภัยคุกคามใหม่ที่มาให้รูปของการใช้เทคโนโลยีเข้าถึงตลาดและ “ทรัพยากรสำคัญ” อื่นๆ ของจีนและรัสเซีย
นั่นทำให้มีผลกระทบต่อสหรัฐ และประเทศที่เป็นพันธมิตรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่รัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้ก็ไม่ได้ตัดทิ้งโอกาสที่จะร่วมมือกับจีนหากแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันได้ในบางด้านที่พูดกันรู้เรื่อง
เขาบอกว่าแม้จีนจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงโลก แต่พฤติกรรมของจีนก็ไม่ควรกระทบความร่วมมือระหว่างสหรัฐ และประเทศพันธมิตรกับจีน
เช่น ในด้านการรับความท้าทายร่วมกันในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงด้านสาธารณสุข
มะกันวันนี้แตะมือกับเอเชียแล้วก็กลับไปกระชับความผูกพันและยุโรปเพื่อยันจีนและรัสเซียอย่างขึงขังเข้มข้นทีเดียว!