คำ ผกา | สมน้ำหน้า

คำ ผกา

ขณะที่มีข่าวว่าด้วยนักการเมือง รัฐมนตรี ไปติดโควิดมาจากคริสตัลคลับที่ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เจ้าพ่ออ่างผู้รันวงการคนกลางคืนบอกว่าเปรียบประหนึ่งไทยคู่ฟ้าสอง

นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมทั้งบรรดาหมอที่ดูแลเรื่องสถานการณ์โควิดและโรคระบาดอยู่หน้าจอและหน้าสื่อ แถมบางคนยังได้เป็นผู้ลงเข็มวัคซีนเข็มแรกให้ประยุทธ์ ก็เรียงหน้าสลอนออกมาเตือนประชาชนว่า อย่าสำเริงสำราญกันนัก สงกรานต์ก็อย่าคึกคะนองท่องเที่ยว ทำอะไรตามประเพณีไทยเข้าไว้ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพราะปัญหาโควิดทุกวันนี้เกิดจากประชาชนพูดไม่รู้ฟัง หละหลวม เอาแต่รักสนุก

พอโควิดระบาดระลอกใหม่ขึ้นมาก็เป็นภาระ “นายกฯ” ต้องคอยมาแก้ไขปัญหาให้ – เหนื่อยจริงวุ้ย เครียดจริงวุ้ย

ฉันงงมากจริงๆ ว่า ประชาชนคนไทยทั้งหลาย เราทนฟังคนเหล่านี้สำรอกใส่หูเราทุกวันได้อย่างไร

แค่ทนเห็นคนปล้นอำนาจประชาชน คนก่อรัฐประหาร นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำ แล้วพูดจาประหลาดๆ ทุกวันก็แย่พออยู่แล้ว

เรายังทนให้คนคนนี้พูดจาดูถูก เหยียดหยาม ทำราวกับประชาชนเป็นเด็กอมมือ หรือเป็นทหารรับใช้ในบ้านอยู่ได้อย่างไรมาหก-เจ็ดปีต่อเนื่องกัน โดยไม่เห็นว่ามันเป็นความผิดปกติ

ใช่ ฉันหมายถึงสลิ่มที่ยังรักยังหลงยังเชียร์รัฐบาลนี้และยังหลับหูหลับตาบอกว่า “ประยุทธ์เขาดี ผลงานเขาเยอะ”

แต่พอถามว่าผลงานที่ว่ามีอะไรบ้าง โดยมากก็จะอ้ำๆ อึ้งๆ

สุดท้ายมาจบที่ผลงานของประยุทธ์คือปกป้องประเทศไทยจากการโดนทักษิณ ชินวัตร และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ครอบงำ ปกป้องสถาบันหลักของชาติ ไม่ให้ใครมาย่ำยี

สิ่งที่ฉันฉงนเกี่ยวกับสลิ่มมากที่สุดคือ หนึ่ง คลัสเตอร์การระบาดของโควิดใหญ่ๆ เกิดจากความหละหลวม ผิดพลาดของรัฐบาล ตั้งแต่กรณีสนามมวย การลักลอบนำแรงงานเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย บ่อน

และล่าสุดในขณะที่ก่นด่าชี้หน้าประชานไม่ให้การ์ดตก

แต่เป็นบรรดาอีลิต ชนชั้นนำ คนในรัฐบาลเองที่ติดโควิดเสียเอง

แล้วไม่ได้ติดโควิดเพราะไปทำงานแบบผู้ว่าฯ สมุทรสาคร แต่ติดโควิดเพราะไปเที่ยว

ตอนคลัสเตอร์ผับ บาร์ทองหล่อล็อตแรก – หูย นายกฯ กับหมอทวีศิลป์ออกมาด่าพวกเที่ยวผับ บาร์กลางคืนกันรัวๆ ว่าคนชั่ว คนคึกคะนอง พวกรักสนุก ไม่รู้จักมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไปสนุกชั่วครั้งชั่วคราวแล้วพาประเทศชาติฉิบหาย

พอจะเริ่มเปิดผับ บาร์ กันอีกรอบ ก็ขู่ชิบหายวายป่วง ว่าไปเที่ยวผับได้ต้องรักษาระยะห่าง ห้ามร้องไชโยโห่ฮิ้ว ห้ามตะโกน บลา บลา

สุดท้ายพอเป็นพวกรัฐมนตรีติดโควิด เป็นไก่อูติดโควิด เป็นคนใหญ่คนโตติดโควิด เป็นตำรวจติดโควิด เป็นดารา นักร้อง คนมีชื่อเสียงติดโควิด บรรดาชนชั้นกลางวอนนาบีที่เข้าเรียนหลักสูตรพิเศษหาคอนเน็กชั่นทั้งหลายติดโควิด

คราวนี้เงียบกริ๊บ ไม่เห็นมีใครออกมาสำรอกด่าใครสักคน

รวมทั้งสลิ่มก็ดูเหมือนจะเงียบกริบไปพร้อมๆ กัน

ไม่เหมือนตอนด่าผีน้อย ด่าแรงงานไทยที่ไปทำงานกาสิโนในท่าขี้เหล็ก ด่าแม่ค้าตลาดนัดเชียงใหม่ที่ไปติดโควิดมาจากวอร์มอัพ

อย่างมากที่สุดสลิ่มก็จะบอกว่า “หยุดด่ากันเถอะ เปิดใจบ้าง ด่ากันแล้วประเทศชาติดีขึ้นเหรอ หัดมองในจุดที่ดีบ้างสิ ไม่ใช่มองหาแต่ข้อบกพร่อง”

 

เอ๊า อีนี่ รัฐมนตรีทุกคน ส.ส.ทุกคน ส.ว.ทุกคน ข้าราชการทุกคน กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนอยู่

ทุกวันนี้ฉันในฐานะประชาชนไม่จ้างคนพวกนี้มากินเงินเดือนเพื่อจะมาชี้หน้าด่าฉัน

ฉันเสียภาษีเพื่อให้คนพวกนี้ทำงาน บริหารประเทศ ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น

ทำไม่ได้ เหนื่อย ไม่มีปัญญาทำก็ควรลาออก

อ้อ – สำคัญกว่านั้น ฉันในฐานะประชาชน ไม่ได้ไปขอให้คนเหล่านี้มาบริหารประเทศ ไม่ได้ขอ ไม่ได้เลือก คนพวกนี้มาใช้กำลัง อำนาจ อาวุธ และความรุนแรง กดประชาชนให้ต้องจำนน แล้วพาตัวเองปีนไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้รับเชิญ

อุตส่าห์กระสันมาเป็นรัฐบาลที่ไม่มีใครเลือกแล้วยังทำงานห่วยแตก มันก็ต้องโดนด่าสาดเสียเทเสียแบบนี้

ความน่ารังเกียจอีกประการหนึ่งของรัฐบาลนี้ เมื่อโควิดระบาดจากความผิดพลาดของรัฐบาลและคนในรัฐบาลเอง เป็นรัฐมนตรีเองที่ไปเที่ยวกลางคืนเอง เป็นส่วนหนึ่งของคลัสเตอร์โควิดนั้นเอง

ทว่าไม่มีคำขอโทษใดๆ จากรัฐบาลหรือตัวรัฐมนตรี

ไม่มีการเปิดเผยไทม์ไลน์ตามมาตรฐานสาธารณสุขว่าด้วยการควบคุมโรคระบาด

และไม่มีเสียงทักท้วงคัดค้านจากข้าราชการ ผู้เชี่ยวชาญคนใดในกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ออกมาขู่ประชาชนเรื่องการปิดบังไทม์ไลน์ว่ามีความผิดทั้งจำคุกทั้งปรับ

สิ่งที่ตามมาหลังจากพบคลัสเตอร์ของการระบาดโควิดและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมันตรงกับวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์

ลองใช้จินตนาการสักนิดหนึ่งนะว่า สองปีที่เราอยู่กับโควิด เราไม่มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเลย

เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเลย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริหารได้รับผลกระทบหนักที่สุดเมื่อเทียบกับทุกอุตสาหกรรม

และมันเป็นอุตสาหกรรมที่รวมเอาผู้คนหลากหลายชนชั้น ฐานะ ตั้งแต่เจ้าของโรงแรม รีสอร์ต ไปจนถึงคนครัว เด็กเสิร์ฟ แม่บ้าน พนักงานต้อนรับ ร้านอาหาร ถนนคนเดิน พ่อค้า-แม่ค้า คนตัวเล็กตัวน้อย ที่อยู่ห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมนี้

สงกรานต์ปีนี้บริบทของมันคือโควิดในประเทศไทยอยู่ในระดับ “ปลอดภัย”

การท่องเที่ยวที่อาศัยกำลังซื้อของผู้บริโถคในประเทศเริ่มฟื้นตัว คนไทยที่ปกติไม่สามารถไปเที่ยวภูเก็ต สมุยได้ในยามปกติเพราะมันแพงมาก ได้มีโอกาสเที่ยวสมุย ภูเก็ตในราคาที่ตัวเองจ่ายได้

ส่วนเจ้าของโรงแรม รีสอร์ต ก็ยอมลดราคาทุกอย่างลงมาเพื่อพยุงกิจการ

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในสงกรานต์ปีนี้คือ การท่องเที่ยวภายในประเทศจากกำลังซื้อของคนไทยด้วยกันเองกำลังจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง

พ่อค้า-แม่ค้า เจ้าของกิจการขนาดเล็กกำลังมีความหวัง หลายคนเริ่มเร่งกำลังผลิต หวังว่าจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ทำเงินได้ คนไทยที่อยู่อย่างกระเบียดกระเสียรมาทั้งปี หรือคนชั้นกลางที่อั้นมาทั้งปี ไม่ได้เที่ยว

คนชั้นกลางระดับกลางต่ำที่ไปเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น พอมีกำลังทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ ก็วางแผนจะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพื่อชดเชยที่ไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ

สังเกตจากการเกิดขึ้นของสวนดอกไม้ที่ทำขึ้นมาเพื่อให้คนไปถ่ายรูปแล้วรู้สึกประหนึ่งว่าตนเองอยู่ในทุ่งหญ้าฮอกไกโด หรือที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ประเทศไทย

สงกรานต์ปีนี้เป็นปีแห่งความหวังของคนค่อนประเทศ

ชนชนชั้นกลางจะได้ไปเที่ยว ไปพักไปกินอาาหารที่สถานที่อันปกติตัวเองไปไม่ได้ เพราะมันแพงเกินไป เขาไม่ง้อคนไทย ตอนนี้พอไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ โรงแรมคืนละสองหมื่นก็เหลือห้าพัน – ชนชั้นกลางทั้งหลายก็เฮ หรือโรงแรมหกดาวในกรุงเทพฯ ปกติคืนละสามหมื่น ตอนนี้เหลือหมื่นเดียว คนชั้นกลางก็ยอมจ่ายไป staycation สักคืน ถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียว่า ฉันได้มาที่นี่แล้วจ้า มันดีเหลือเกิน คุ้มเหลือเกิน

อะไรก็ว่าไป

ส่วนคนชนชั้นหาเช้ากินค่ำ แรงงานจากต่างจังหวัดที่มาทำงานกรุงเทพฯ ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เหน็ดเหนื่อย ปากกัดตีนถีบ ชีวิตเอาแน่เอานอนไม่ได้

ถ้าคุณเป็นคนขับรถแท็กซี่ ก็ต้องมาลุ้นว่าถ้าเขาล็อกดาวน์ ร้านอาหารเปิดได้ถึงสามทุ่ม ห้ามขายเหล้า นั่นแปลว่าชีวิตกลางคืนจะมืดมิด รายได้คุณอาจจะหายไปสองในสาม ถ้าเขาคลายล็อกก็มีความหวังว่ารายได้จะกลับมาใกล้เคียงกับที่เคยหาได้

ถ้าคุณเป็นพ่อค้า-แม่ค้าขายอาหารริมทางเท้า ตั้งแต่หมูปิ้ง ลูกชิ้นปิ้ง ก็ต้องมาลุ้นว่าลูกค้าผู้มีรายได้น้อยเหมือนกันนั้น เขาจะมีเงินมาซื้อของของคุณเท่าที่เคยซื้อไหม

ลุ้นว่ารายได้แต่ละวันจะพอจ่ายหนี้สินอีรุงตุงนังทั้งหลายแหล่ไหม

คุณอาจจะขับรถ ขายของ หรือทำงานโดยไม่มีหยุดมายาวนาน – คุณไม่กล้าหยุด เพราะคุณไม่รู้ว่าวันไหนคุณจะต้องหยุดงานนั้นไปถาวรตลอดกาล

ถ้าคุณเป็นหมอนวด ก็หมายความว่าคุณเพิ่งได้กลับมาประกอบอาชีพของคุณเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง

คำพูดที่เราได้ยินอยู่เสมอคือ “ทำๆ ไปเถอะ ได้มากได้น้อยก็ทำดีกว่าไม่มีงานทำ”

คนเหล่านี้คือผู้คนที่ปีที่แล้วไม่ได้กลับบ้านในช่วงสงกรานต์ เผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิตสูงสุด

ผ่านแต่ละวันไปพร้อมกับโจทย์ทางการเงินที่ยากที่สุดในฐานะชนชั้นล่างเกือบกลางและชนชั้นกลางเกือบล่าง

 

ปีนี้คือปีที่พวกเขาเห็นความหวังริบหรี่ สงกรานต์ปีนี้จะเป็นปีแรกที่มีกลิ่นอายของความครึกครื้นขึ้นมาบ้าง เงินในกระเป๋ามีไม่มาก แต่มันไม่สำคัญเท่าความหวังของปีนี้แจ่มใสกว่าปีที่แล้ว – วัคซีนกำลังจะมา ทุกอย่างมันคงค่อยๆ ดีขึ้น ปีนู้นคงพอมีนักท่องเที่ยว ลืมเรื่องหนี้สินไว้ก่อน

สงกรานต์ปีนี้ขอกลับบ้านไปกินเหล้า ไปสาดน้ำ ไปรำวง ไปวัด ไปเจอพ่อ-แม่ ญาติพี่น้อง ไปกินของแซบแนวบ้านเรา ไปสนุกให้สุดเหวี่ยง ไปในที่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้านาย หรือเป็นลูกค้าที่เราต้องคอยพินอบพอเทา

ไปบ้านเราสักสี่-ห้าวัน บ้านเราที่คนรู้จักเราในฐานะลูกแม่ใหญ่ หลานพ่อสุข พ่อไอ้บอย ไม่ได้รู้จักเราในฐานะคนขับแท็กซี่ ยาม พ่อค้าไก่ทอด ฯลฯ

และแล้วความหวังก็พังครืน ที่ว่าจะกลับบ้านก็ไม่ได้กลับ ที่ว่าจะลืมความทุกข์หมองไว้สักสี่ซ้าห้าวันก็คงไม่ได้ลืม เปิดทีวี บักนายกฯ มันบอกว่าสงกรานต์ไม่ได้มีปีนี้ปีเดียว อยากจะสนุกอะไรกันนักหนา

ได้ยินแล้วก็อยากจะบอกว่า ปีทั้งปีกูสะกดคำว่าสนุกแทบจะไม่เป็นแล้วบักห่า

ประยุทธ์หรือหมอทั้งหลายที่มาทำงานอยู่หน้าจอทีวี

จงใจที่จะทำเป็นมองไม่เห็นมิติของความเป็นมนุษย์ของผู้คนในสังคม

เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ชนชั้นนำไทยเห็นความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น

พวกเขาก็จะเห็นว่าที่เขากลายมาเป็นชนชั้นนำในสังคมนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาเก่งหรือฉลาด

แต่เพราะพวกเขาโง่พอที่จะศิโรราบต่ออำนาจและยอมทอดตนเป็นข้าช่วงใช้ของระบบอุปถัมภ์

ความโง่ทำให้คนได้ดี แต่คนเหล่านี้ยอมรับไม่ได้ว่าตนโง่และไร้ศักดิ์ศรี

จึงเลือกที่จะกดความเป็นมนุษย์ของคนอื่นไว้ด้วยอำนาจที่ตนเองมีอยู่ในมือ

สถานการณ์โควิดในประเทศไทยจึงไม่ได้เคยรับการจัดการอย่างที่มันควรจะเป็น

ทว่าได้รับการจัดการในฐานะเป็นเครื่องมือทางการเมือง ให้ประชาชนเจ้าของประเทศเป็นแพะรับบาป

และให้ชนชั้นนำลอยอยู่ในอำนาจได้ทั้งๆ ที่มีระดับ literacy ต่ำว่าเด็กเก้าขวบ

หรือดีกว่านั้นคือเป็นอย่างมากแค่นักเลงกระจอกในหมู่บ้านอันไกลโพ้นผู้ไม่เคยเดินทางไปไหนไกลกว่าบ้านเกิดเกินห้ากิโลเมตร

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ปีนี้สำหรับประเทศไทยคงไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับใครเลย รวมทั้งสลิ่ม

และฉันสัญญาว่าฉันจะสมน้ำหน้าอย่างเต็มความสามารถ!